หน้าจอใหญ่ขึ้น เเสดงผลได้มากกว่าเดิม
จาก 3.5 นิ้วเป็น 4 นิ้ว โดยเป็นการเพิ่มความยาวของจอและตัวเครื่องขึ้น
ซึ่งในจุดนี้ Apple ชี้แจงว่า
เพื่อจะได้สามารถใช้งานได้ถนัดมือเพราะด้านกว้างยังคงเท่าเดิม
โดยเฉพาะการพิมพ์ข้อความด้วยมือข้างเดียวอย่างที่ผู้ใช้สมาร์ทโฟนนิยม
ส่วนในด้านความยาวที่เพิ่มขึ้นนั้นก็เพื่อที่ผู้ใช้จะสามารถอ่านข้อความได้
มากขึ้นทั้งในการใช้งานทั่วไปและขณะพิมพ์ข้อความอยู่
ส่วนเรื่องความละเอียดจอที่เพิ่มขึ้นนั้น
ถึงแม้จะยังไม่ไปถึงขั้น 720p อย่างที่สมาร์ทโฟนหลายๆ
รุ่นในตลาดนำหน้าไปแล้วแต่ก็ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมคือเรื่องของ
อัตราส่วนจอ ซึ่งเปลี่ยนจาก 3:2 ที่ใช้มาตั้งแต่ iPhone รุ่นแรกมาเป็น 16:9
ใน iPhone 5
ที่จะมีผลชัดเจนก็คือเรื่องของการรับชมภาพยนตร์ที่มีอัตราส่วนภาพเป็น 16:9
ส่วนเรื่องของแอพนั้นก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร
เพราะถ้าเป็นแอพที่สร้างมาเป็นอัตราส่วนจอแบบเก่า ก็สามารถรันได้สบายๆ
โดยเหลือเป็นขอบดำอยู่ตรงหัว/ท้ายแอพเล็กน้อย
ไม่ได้ใช้การยืดแอพออกไปแต่อย่างใด และถ้าแอพใดที่เขียนออกมาบนอัตราส่วนจอ
16:9 แล้ว
ก็น่าจะได้รับผลในเรื่องของการแสดงข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมด้วย
ซีพียูดีขึ้น
เปลี่ยนจาก Apple A5 ไปเป็น A6 (รายละเอียดเชิงสถาปัตยกรรมต้องรอ) ที่
Apple อ้างว่าความเร็วทั้งด้านการประมวลผลและด้านกราฟิกสูงกว่าของเก่า 2
เท่า เเต่ถ้านับจริงๆ แล้ว ความลื่นไม่น่าต่างจากของเก่า
(เพราะของเก่าก็ลื่นดีอยู่แล้ว เนื่องด้วยข้อได้เปรียบตรงที่เป็นระบบปิด
Apple สามารถควบคุมและออกแบบการทำงานของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ได้เอง
จึงสามารถดึงประสิทธิภาพมาได้มาก) โดยเท่าที่มีคลิปรีวิวจากงานเปิดตัวของ
Apple จากสื่อที่เข้าร่วมในงานนั้น
พบว่าความเร็วในส่วนของการเปิด/ปิดแอพและการถ่ายรูปค่อนข้างเร็วขึ้น เช่น
เปิดเบราว์เซอร์น่าจะเร็วขึ้นกว่าเดิมอยู่นิดหน่อย
การเรียกใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ ทันใจ ซึ่งก็เป็นจุดเด่นของ iPhone
ในแต่ละช่วงปีอยู่แล้ว
รองรับความเร็ว 3G สูงสุดเพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อน
โดยรองรับได้ถึงเทคโนโลยี DC-HSDPA ที่มีความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุด 42
MBps สูงกว่า HSPA+ ถึงสองเท่า
ซึ่งน่าเสียดายตรงที่ดูเหมือนว่าในไทยจะยังไม่มีให้ใช้อยู่ดี ส่วนเรื่องของ
4G LTE นั้นคงไม่เป็นประเด็นเท่าไร เพราะเรายังไม่ได้ใช้กันในเร็วๆ
นี้แน่นอน เผลอๆ iPhone 6 ออกมาแล้วเราก็ยังไม่ได้ใช้อยู่ดี
ตัวเครื่องที่บางลง เบาลงกว่าเดิม
โดยในส่วนของตัวเครื่องนั้นยังคงใช้เป็นโครงสร้างแบบ unibody เช่นเคย
แต่เปลี่ยนส่วนชิ้นหลักเป็นอะลูมิเนียมที่มีน้ำหนักเบา
แต่ก็ยังมีการติดตั้งชิ้นแก้วไว้ตรงส่วนบริเวณด้านบนและล่างของฝาหลังอยู่
ทำให้รูปร่างหน้าตาดูหรูหรา
(จากรายงานของสำนักข่าวที่ไปพรีวิวในงานเปิดตัว)
และด้วยการเปลี่ยนวัสดุหลักมาเป็นอะลูมิเนียม ส่งผลให้น้ำหนักตัวเครื่อง
iPhone 5 เบาลงกว่า iPhone 4S ประมาณ 28 กรัม ส่วนความบางก็ลดลงเกือบๆ 2
มิลลิเมตร ซึ่ง Apple เคลมว่า iPhone 5
เป็นสมาร์ทโฟนที่บางที่สุดของโลกในปัจจุบันไปแล้ว
ซึ่งในจุดนี้ก็นับว่าเป็นการแสดงให้เห็นอีกหนึ่งความก้าว
หน้าด้านเทคโนโลยีของ Apple เมื่อเทียบกับปีที่แล้วได้ระดับหนึ่ง
เนื่องด้วย Jony Ive ได้ชี้แจงเรื่องจุดประสงค์การออกแบบ iPhone 5 ว่า
จะต้องทำให้ตัวเครื่องบางกว่าเดิม
แต่ยังคงเทคโนโลยีของเดิมไว้ได้อย่างครบถ้วน
และต้องสามารถใส่เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าไปได้ด้วย ซึ่งเทคโนโลยีใหม่ๆ
ที่เห็นได้ชัดก็เช่น จอขนาดใหญ่ขึ้น ความละเอียดสูงขึ้น, ชิป 4G LTE
ที่ไม่ได้เป็นชิ้นเดียวกับ CPU เป็นต้น
Wi-Fi รองรับความถี่ 5GHz เเล้ว
ข้อนี้น่าจะทำให้หลายๆ คนที่ตั้งใจจะซื้อ iPhone 5 และ Access Point หรือ
Wireless Router ต้องพิจารณามากขึ้น เนื่องด้วยที่ผ่านมาอุปกรณ์ network
ที่รองรับ Wi-Fi 802.11n ความที่ 5 GHz พอมีวางจำหน่ายบ้างแล้ว
แต่ก็ติดตรงที่ไม่รู้ว่าจะเอามาใช้กับอุปกรณ์อะไรได้มากน้อยเท่าไร
เพราะส่วนใหญ่ในท้องตลาดจะรองรับการใช้งาน 802.11n ที่ความถี่คลื่น 2.4 GHz
ซะมากกว่า
พอร์ตเชื่อมต่อ
ในจุดนี้นับว่าเป็นการเริ่มต้นใหม่ได้ดีสำหรับ Lightning
ที่จะมาแทนที่พอร์ต Dock connector ที่ใช้มานานหลายปีแล้ว
ด้วยจุดประสงค์ของ Apple ที่ต้องการพอร์ตที่มีขนาดเล็กลง
เพื่อจะได้สามารถออกแบบตัวเครื่องได้บางลงและเล็กลงกว่าเดิมในอนาคต
ทั้งยังสามารถเสียบสายได้ไม่ว่าจะหันสายไปด้านใดก็ตาม
ทำให้สะดวกกับการใช้งาน ส่วนเรื่องพินภายในก็ลดลงมาเหลือ 8 พินเท่านั้น
ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีปัญหาในอนาคตกับอุปกรณ์ด้านเสียงต่างๆ ในอนาคต
เพราะมีการตัดชุดส่งสัญญาณ Line-out ออกไป แถมบรรดาตัวแปลงจาก Lightning
ไปเป็นพอร์ต Dock แบบ 30
พินนั้นก็มีระบุไว้ด้วยว่าอาจจะไม่สามารถใช้กับอุปกรณ์เสริมบางอย่างได้แล้ว
ด้วย
ส่วนเรื่องของความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลนั้นก็เท่ากับ iPhone 4S ครับ เพราะยังคงใช้การเชื่อมต่อแบบ USB 2.0 เช่นเดิม
เพิ่มไมค์สำหรับตัดเสียงรบกวน
โดยมีการเพิ่มไมค์อีกหนึ่งจุดที่บริเวณข้างๆ กล้องหลังของ iPhone 5
ทำให้สามารถตัดเสียงรบกวนจากภายนอกในระหว่างการสนทนาได้ดีขึ้นกว่าเดิม
รวมไปถึงไมค์ด้านหลังนี้ยังช่วยให้การอัดเสียงขณะถ่ายวิดีโอทำได้ดีกว่าเดิม
อีกต่างหาก เพราะไมค์หันหน้าเข้าไปรับเสียงจากทิศทางที่ถ่ายวิดีโอแบบตรงๆ
กล้องหน้าที่ความละเอียดสูงขึ้น
โดยใน iPhone 5 จะมีการปรับตำแหน่งของกล้อง FaceTime
ด้านหน้ามาไว้เหนือลำโพงสนทนา
แต่ที่น่าสนใจกว่าก็คือมีการเพิ่มสเปกของกล้องให้สูงขึ้น
โดยใช้เป็นกล้องความละเอียดการถ่ายภาพสูงสุด 1.2 ล้านพิกเซล
ส่วนความละเอียดสูงสุดของการถ่ายวิดีโอก็อยู่ที่ 720p เทียบเท่ากับใน
MacBook รุ่นใหม่ๆ แล้ว จึงน่าจะเหมาะกับหลายๆ
คนที่นิยมถ่ายรูปด้วยกล้องหน้ามากขึ้น รวมไปถึงผู้ที่ใช้งาน FaceTime
ที่จะได้วิดีโอที่ชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าใน iPhone 4S
ที่มีความละเอียดเพียงระดับ VGA (แถมยังสามารถใช้ FaceTime ผ่าน 3G/4G
ได้แล้วอีกด้วย ซึ่งเป็นฟีเจอร์ของส่วน iOS 6)
ส่วนอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่เพิ่มเข้ามาในกล้อง FaceTime
(กล้องหน้า) ก็คือ มีการใส่ Backside illumination sensor
มาให้เหมือนกับในกล้อง iSight (กล้องหลัง) จึงคาดได้ว่ากล้องหน้าใน iPhone 5
นี้จะมีประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีขึ้นกว่า iPhone 4S
สามารถถ่ายภาพนิ่งขณะกำลังถ่ายวิดีโออยู่ได้
ส่วนนี้น่าจะเนื่องมาจากพลังการประมวลผลของชิป Apple A6 ที่เพิ่มมากขึ้น
โดยเฉพาะในส่วนเรื่องการประมวลผลภาพ นอกจากนี้ในขณะถ่ายวิดีโอ
ตัวซอฟต์แวร์ยังสามารถตรวจจับหน้า (Face Detection) ได้ด้วย
เพื่อจัดเรื่องการโฟกัสขณะถ่ายได้ดีขึ้น
อะไรที่เหมือน / คล้ายของเดิมกล้อง สเปคเหมือนของเดิม ภาพอาจจะดีขึ้นเล็กน้อยจาก ISP บน Apple A6 ส่วนจุดต่างที่เพิ่มขี้นมาก็คือเรื่องการเปลี่ยนกระจกครอบด้านหน้า ที่ Apple อ้างว่าสามารถให้ภาพที่ได้คมชัดขึ้น สีสันถูกต้องยิ่งขึ้น ซึ่งถ้ามาวัดคุณภาพของภาพก็คงไม่น่าจะต่างจาก iPhone 4S มากเท่าไร
สนับสนุน 3G ทุกค่ายเหมือนเดิม
Bluetooth ที่ยังคงเป็น Bluetooth 4.0 อีกทั้งเรื่องฟีเจอร์ต่างๆ ภายในก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกด้วย
GPS/GLONASS เรื่องของระบบหาพิกัดก็ยังมีมาให้ทั้ง GPS และ GLONASS ซึ่งจะทำงานร่วมกันเพื่อให้สามารถระบุพิกัดได้แม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยใครที่ต้องการใช้ฟีเจอร์นี้ ใน iPhone 4S ก็มีอยู่แล้วครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น