ผู้ปฏิบัติทั้งหลายนี่มันต้องเพียรละเรื่อยไป เรื่องชั่วเรื่องไม่ดีไม่งามอะไรเกิดขึ้นมาแล้ว มันจะมาถึงตนก็ดี ถึงผู้อื่นก็ดี ก็อย่าไปเสียใจดีใจโกรธเกลียด ละเรื่องนั้นไปเสียแล้วไม่ยึดถือแล้วมันก็ดับไปเลยเรื่องดีเรื่องชั่วทั้งหลายตามที่ปรากฎภายนอกนั้น ต่างคนต่างไม่ยึดถือแล้วมันก็หายเข้ากลีบเมฆไปเลยเรื่องต่างๆ นี่ขอให้พากันปฏิบัติอย่างนี้ อย่าไปยึดถือเอาไว้ ถ้ายึดถือเอาไว้มันยุ่งแหละ เมื่อมันยุ่งแล้วมันก็ไม่เป็นศีลเป็นธรรม นี่บาดนินะก็เหลวไหลแหละความประพฤติความเป็นอยู่น่ะ
อย่าไปทำเหมือนอย่างคำพังเพยที่ว่า ปลาตัวเดียวเหม็นคับข้อง อย่างนี้ไม่ถูกหรอกถ้ามาพูดทางธรรมะขั้นสูงขึ้นไป ไม่ถูก หมายความว่า คนผู้เดียวทำให้คนหมู่มากเดือดร้อนวุ่นวายอย่างนี้นะ เอ้า ถ้าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เป็นผู้ไม่ยึดถือความชั่วของผู้อื่นมาเป็นสมบัติของตน แล้วอย่างนี้คนคนเดียวจะแสดงบทชั่วอะไรออกไปก็แสดงไปซิ แต่คนหมู่ใหญ่ไม่ถือสาไม่ยึดถือเลย อย่างนี้นะ แล้วตบมือข้างเดียวมันจะไปดังอะไรบาดนิ มีแต่คนชั่วแสดงบทบาทความชั่วออกไปผู้เดียว คนรู้ธรรมคนดีนอกนั้นไม่เกี่ยวข้องเลย เดี๋ยวเพื่อนแสดงออกมันเหนื่อยมันก็หยุดไปเท่านั้นเอง เรื่องมันก็แล้วไป ไม่มีอะไร พระพุทธเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้พุทธบริษัทปฏิบัติเพื่อละอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้ ขอให้เข้าใจ
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ
“สติใคร่ครวญเสียก่อนจึงค่อยพูด”
“สติใคร่ครวญเสียก่อนจึงค่อยพูด”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น