วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2555

วิปัสสนาแบบธรรมชาติ (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน)

วิปัสสนาแบบธรรมชาติ

นักวิปัสสนาที่ยังต้องอาศัยเวลาที่สงัด ยังต้องยึดแบบนั้น ท่านว่ายังไกลต่อมรรคผลมาก
นักวิปัสสนาที่เข้าระดับวิปัสสนาจริง ท่านเอาธรรมชาติที่ปรากฏเฉพาะหน้าเป็นเครื่องพิจารณา
ขั้นแรกจงเข้าใจคำว่า " วิปัสสนา " เสียก่อน คำว่า " วิปัสสนา แปลว่า รู้แจ้งเห็นจริงตาม
ความเป็นจริง " วิปัสสนาท่านแปลว่าอย่างนั้น หรือจะพูดเป็นภาษาไทยแท้ก็ได้ความว่ายอมรับ
นับถือกฎธรรมดา เมื่อได้ความอย่างนี้แล้ว การเจริญวิปัสสนาก็ไม่มีอะไรยาก ความจริงวิปัสสนา
นี้มีวิธีเจริญง่ายมาก ง่ายกว่าระดับสมาธิมาก คือยกอารมณ์ให้เข้าถึงความเป็นจริงคล้อยตาม
ความเป็นจริงไม่ฝืนความจริงรับรู้รับทราบตามกฎของความเป็นจริงตลอดเวลาและไม่พยายาม
ฝ่าฝืนกฎธรรมดาเป็นอันขาด

กฎธรรมดา
กฎของธรรมดามีอย่างนี้ไม่ว่าอะไรที่เราได้มาหรือเห็นอยู่ตามกฎที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ก็คือ เมื่อมันเกิดมาใหม่ มันเป็นของใหม่ แต่ต่อไปมันจะค่อย ๆ เก่าลงทุกทีตามวันเวลาที่
ล่วงไปแล้ว ในที่สุดมันก็จะต้องแตกทำลาย สิ่งที่มีชีวิตต้องตาย สิ่งที่ไม่มีชีวิตต้องผุพัง กฎ
ธรรมดามีเท่านี้จะเป็นใครก็ตามแม้แต่ตัวเรา ลูกเรา หลานเราไม่ว่าท่านผู้วิเศษที่ไหนเป็น
อย่างนี้เหมือนกันหมดจำเข้าไว้และคิดคำนึงไว้เป็นปกติ อย่าคิดเฉย พยายามทำอารมณ์จิต
ให้เข้าระดับจริง ๆ คือคิดแล้วปลงด้วย โดยปลงว่าก็อะไร ๆ มันไม่แน่นอนอย่างนี้เราควรหรือ
ที่จะยึดจะเกาะสิ่งทั้งหมดที่เห็นที่มีอยู่และกำลังจะมีว่ามันเป็นเราเป็นของเราถ้าคิดอย่างนั้น
มันก็ผิดถนัด เป็นการหลอกหลอนตัวเอง เพราะมันต้องเก่า ต้องทำลายเมื่อมันมีสภาพอย่างนี้
ทั้งหมด โลกก็การเกิดในโลกที่เต็มไปด้วยความกลับกลอกหลอกหลอนโกหกมดเท็จอย่างนี้
มีอะไรเป็นของน่ารัก น่าทะนุถนอม น่าปรารถนาบ้าง พยายามคิด ๆ ให้เห็นว่าความจริงมัน
น่าเบื่อจริง ๆ ไม่ว่าคนหรือสัตว์ แม้แต่วัตถุที่ไม่มีวิญญาณ หาอะไรคงสภาพไม่มี พยายาม
แสวงหา สะสมกันเสียพอแรง แต่แล้วก็ผิดหวัง เมื่อจะหามา เลือกแล้วเลือกอีกเอาสวย ๆ
งามที่สุดเท่าที่จะหาได้ ดูทนทานแข็งแรงที่สุดเท่าที่จะมีในโลกนี้ แล้วมีอะไรเกิดขึ้นเมื่อ
ได้มาแล้วมันจะค่อย ๆ คลายความสวยลง แล้วก็เริ่มคร่ำคร่าลงทุกวันทุกเวลา ในที่สุดก็พัง
โลกคือความเกิด เต็มไปด้วยความคร่ำคร่าผุพัง น่าเบื่อหน่ายน่าเอือมระอาเป็นที่สุดต่อเมื่อ
อาการพังทะลายปรากฎ ทำจิตอย่าให้หวั่นไหว เพราะเราทราบแล้วว่า มันต้องเป็นอย่างนั้น
ยิ้มรับความสลายตัวของทรัพย์สินด้วยอารมณ์ชื่นบาน และรับทราบมีอารมณ์ปกติเมื่อความ
ตายมาถึงตน มีความชื่นบานด้วยความคิดว่าดีแล้ว โลกที่ศิวิไลซ์ด้วยความปลิ้นปล้อนตลบ
ตะแลง เราสิ้นชาติสิ้นภพกันที การสิ้นลมปราณคราวนี้เป็นการสิ้นทุกอย่างเราจะไม่มีทุกข์
อีก เพราะเราไม่ปรารถนาความเกิดอีก ขึ้นชื่อว่าชาติภพความเกิดจะเกิดในแดนใดเราไม่
ต้องการ มีสถานเดียวคือพระนิพพานเท่านั้น เป็นสถานที่เราปรารถนาทำอารมณ์พอใจใน
พระนิพพานให้เป็นปกติ สร้างความรู้สึกตามกฎธรรมดารู้เกิด รู้เสื่อม รู้สลายของของทุก
ชนิด จนมีอารมณ์ปกติไม่หวั่นไหวในเมื่อมรณภัยมาถึงสมบัติ ญาติ บุตร สามี ภรรยาใน
ที่สุดแม้แต่ตัวเรา อารมณ์เป็นปกติอย่างนี้ตลอดวัน ไม่ดีใจในเมื่อมีลาภ ได้ยศ รับคำสรร-
เสริญ มีความสุข ไม่หวั่นไหว ในเมื่อสิ้นลาภสิ้นยศ ถูกนินทามีความทุกข์ เท่านี้น่าภูมิใจ
ได้แล้ว ท่านสิ้นภาระในทุกขภัยแล้ว ต่อไปท่านมีพระนิพพานเป็นที่ไปแน่นอน นักวิปัสสนา-
ญาณเจริญอย่างนี้โดยที่เห็นรูปกระทบตลอดวัน ท่านจึงจะนับว่าเป็นนักวิปัสสนาญาณแท้
และเข้าวิปัสสนาจริง ถ้ายังรอวัน รอเวลาหาที่สงัดอยู่แล้วยังหรอกท่าน ยังไกลคำ
ว่าวิปัสสนามากนัก ขอยุติวิปัสสนาตามธรรมชาติโดยย่อไว้เพียงเท่านี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น