หลวงพ่อสร้อย ... พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ
เล่าโดย
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร)
วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
เล่าโดย
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร)
วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
เคยพบพระองค์หนึ่งในสมัยปัจจุบันนี้ คือ พ.ศ. ๒๕๐๔ - ๒๕๐๕ ต่อกัน
พระรูปนั้นมีชื่อว่า "พระสร้อย"
ท่านบอกว่า ท่านเป็นชาวจังหวัดสระบุรี ไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อนเลย
แม้หนังสือไทยนี้ ปกติท่านก็อ่านไม่ออก
ท่านว่าเมื่อท่านอายุได้ ๗ ปี มีพระในถ้ำเขตสระบุรีท่านหนึ่ง ไปเยี่ยมโยมท่านที่บ้าน
เมื่อพระรูปนั้นจะกลับถ้ำ ได้ออกปากชวนท่านไปอยู่ด้วย
ท่านก็ขออนุญาตโยมหญิง - ชายจะไปอยู่กับพระรูปนั้น
โยมทั้งสองก็อนุญาตด้วยความเต็มใจ
ท่านเล่าให้ฟังว่า
เมื่อไปอยู่กับพระรูปนั้นก็ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ
เพราะในถ้ำนั้นมีพระอยู่ ๒ - ๓ รูป
ท่านบิณฑบาตกลับมาแล้ว ท่านฉันจังหันเสร็จ
ต่างก็บูชาพระ แล้วนั่งภาวนากันตลอดวันตลอดคืน ไม่ใคร่มีเวลาพูดคุยกัน
ท่านก็สอนให้ท่านอาจารย์สร้อยภาวนาด้วย ทำอยู่อย่างนั้นจนครบบวช
พระที่ท่านพาไปก็พาออกมาบวชที่บ้าน บวชแล้วก็พากลับมาอยู่ถ้ำ นั่งภาวนาตามเดิม
ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๓ - ๒๕๐๔ ท่านป่วย
ได้เดินธุดงค์มาปักกลดอยู่ที่บางกะปิ พระนคร
ใครจะนิมนต์ท่านเข้าไปในชายคาบ้าน ท่านไม่ยอมเข้า
ต่อมาพลเรือตรีสนิท เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือไปพบเข้า มีความเลื่อมใส
นิมนต์ให้มารักษาตัวที่กรมแพทย์ทหารเรือ ให้พักอยู่ที่ตึก ๑ เป็นตึกคนไข้พิเศษ
อาจารย์สร้อยนี่เป็น ... พระพิเศษ
ปฏิปทาของท่านอาจารย์สร้อย ที่มาอยู่ที่กรมแพทย์ทหารเรือก็คือ
ตอนเช้า ท่านจะต้องออกบิณฑบาตทุกวัน ท่านมีบาตรของท่านมาลูกหนึ่ง
ไปยืนเอาบาตรแขวนไว้ ที่ต้นมะฮ็อกกานี
ข้างประตูเข้ากรมแพทย์ทหารเรือ เวลาเข้าไป ไอ้ต้นนี้มันจะอยู่ซ้ายมือ ชิดประตู ต้นใหญ่มาก
ยืนหลับตาประเดี๋ยว ... ก็เอาบาตรมา
ตามปกตินายทหารประจำตึก เขาจะเก็บบาตรไว้
แล้วเขาจะเช็ดจะขัดจะถูเป็นอย่างดี พอเช้าท่านจะมาเอา
เขาตรวจดูว่า ไม่มีอะไรเขาก็ส่งมาให้
เวลาท่านเอาบาตรไปแขวน ... ท่านก็ยืนหลับตา
คนเขาผ่านไปผ่านมา มันไม่ใช่ป่านี่ คนเดินกันไขว่เทียว
ตอนเช้า ทุกคนก็เห็นว่า ... ท่านยืนหลับตาเฉยๆ บาตรก็แขวนที่กิ่งมะฮ็อกกานี
สักประเดี๋ยวหนึ่งท่านก็กลับ สะพายบาตรกลับไป ส่งให้นายทหารหัวหน้าตึก
ก็ปรากฏว่า ... มีข้าว ประมาณ ๒ - ๓ ทัพพี
แล้วมีดอกไม้แปลกๆ ๑ ดอกทุกวัน ดอกใหญ่เกือบจะเต็มบาตร
แต่ไม่รู้ว่าดอกอะไร ไม่มีใครรู้จัก ... เป็นแบบนั้นทุกวัน
สำหรับท่าน อาจารย์สร้อย ปรากฏภายหลังว่า ... รู้ภาษาได้ทุกภาษา
มีนายทหารมาพูดแบบนั้น แล้วพูดถึงปฏิปทาบางอย่างของท่าน
ดู ๆ แล้วคล้ายจะ ... ไม่ใช่พระธรรมดา
ที่ว่า ... ไม่ใช่พระธรรมดา คือ คิดว่าพระองค์นี้จะเป็น "พระอริยเจ้า"
เวลานั่งพูดคุยกับใคร ท่านไม่ได้นั่งหลับตาปี๋ ทำท่าเป็นคนเคร่งครัดมัธยัสถ์ไม่ใช่ยังงั้น
แสดงตัวเป็นกันเองตามปกติ พูดแบบกันเองธรรมดาๆ
แต่ว่าทรมานเอานายทหารไม่กินเหล้าไปหลายคน
ฉันสงสัยเหลือเกินละว่า พระองค์นี้จะเป็น ... "พระอริยเจ้า"
สำหรับ พระอริยเจ้า มีอยู่ ๔ ประเภทด้วยกัน
ว่ากันเฉพาะ พระอรหันต์ คือมี
- สุขวิปัสสโก
- เตวิชโช ( วิชชา ๓)
- ฉฬภิญโญ (อภิญญา ๖)
- ปฏิสัมภิทัปปัตโต (ปฏิสัมภิทาญาณ)
สำหรับพระอริยเจ้าที่เป็น ... พระสุขวิปัสสโก
ประเภทนี้ ไม่มีบทบาทอะไรทั้งหมด
หมายความว่า ละกิเลสได้แบบเงียบๆ
ผีสางเทวดา ... ท่านก็ไม่เห็น
นรกสวรรค์ ... ท่านก็ไม่เห็น
แต่ว่า จิตสงัดจากกิเลส
สำหรับท่าน "เตวิชโช"
อันนี้ได้ ทิพยจักขุญาณ กับ ปุพเพนิวาสนุสติญาณ คือว่า
สามารถจะเห็นผี เห็นเทวดา เห็นสวรรค์ เห็นนรก เห็นพรหมโลก เห็นนิพพาน ได้ตามอัธยาศัย
แล้วก็สามารถระลึกชาติได้ ชาติของตัวเองเคยเป็นอะไรมาบ้างรู้หมด
ต่อไปก็ "ฉฬภิญโญ" (อภิญญา ๖) อันนี้ ... แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้
สำหรับ "ปฏิสัมภิทัปปัตโต" ก็แสดงได้อย่างกับท่านอภิญญา ๖
แต่มีกรณีพิเศษโดยเฉพาะ เอาอย่างที่แปลกที่สุดคือ
รู้ภาษาทุกภาษาโดยไม่ต้องเรียน นี่ก็ว่ากันอย่างย่อๆ
รู้ภาษาทุกภาษาทั้งหมดโดยไม่ต้องเรียน
ภาษาคน ภาษาสัตว์ ... รู้หมด
ทีนี้สำหรับ "หลวงพ่อสร้อย" องค์นี้
อาตมาสงสัยว่า จะเป็น พระอรหันต์ ขั้นปฏิสัมภิทัปปัตโต
ก็เลยบอกบรรดาท่านนายทหารว่า เอายังงี้ก็แล้วกัน
สำหรับพระอรหันต์มี ๔ แบบ สำหรับแบบอื่นเราจะพิสูจน์ได้ด้วยการทดลองอย่างอื่น
แต่องค์นี้ฉันสงสัยว่เป็น ปฏิสัมภิทาญาณ
ลองดูนะ ไม่แน่นัก ถามว่าพวกคุณนี่น่ะพูดภาษาอะไรได้บ้าง เอาภาษาที่ถนัด
บางคนก็บอกว่า ภาษาอังกฤษผมเก่ง
บางคนบอกว่า ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน
ภาษาจีน เพราะเคยเป็นลูกจีน
แล้วก็ภาษาแขก บังเอิญมีนายทหารแขกอยู่คนหนึ่ง พูดภาษาแขกเร็วปรื๋อ
เรียกว่าได้กันหลายๆ ภาษา
เมื่อได้กันแล้วซักซ้อมกันดีแล้ว ก็ส่งเข้าไปทีละคน
คนไหนถนัดภาษาอะไร เข้าไปหาท่าน
พูดภาษาแบบนั้น พูดภาษาที่ตนถนัด
พอเขาเข้าไปพูด จะเป็น ... ภาษาอะไรก็ตาม
หลวงพ่อสร้อย ... ตอบภาษานั้นได้อย่างชัดเจน
คล้ายๆ กับเป็นเจ้าของภาษาเอง ทุกภาษา
ในที่สุด พวกนายทหารถามว่า หลวงพ่อเรียนมาจากไหน
ท่านบอกว่า ท่านไม่ได้เรียน
อยู่ในถ้ำนั่น ... เจริญสมาธิมันเกิดความรู้สึกขึ้นเอง
เขาถามว่า ในเมื่อเขาพูดภาษาอื่น หลวงพ่อมีความรู้สึกยังไง
ท่านก็บอกว่า มีความรู้สึกเหมือนเขาพูดภาษาไทย
เวลาที่จะตอบไปก็เหมือนกัน
มีความรู้สึกว่า ... ตอบเป็นภาษาไทย
นี่แหละท่านผู้ฟัง
สำหรับ ท่านอาจารย์สร้อย ... มีกรณีพิเศษ แปลกแบบนี้
แล้วต่อมาพวกนายทหารแจ้งให้ทราบว่า ท่านกำหนดเวลาตาย
ท่านบอกว่า ใครจะเอาอะไรก็เอา ท่านจะตายเดือนนั้นเดือนนี้
ถ้าจะต้องการอะไร ให้ไปหาท่านก่อน
คนที่ไปก็ได้ของดีพิเศษมาทุกคน คือว่า
มีคำสั่งมอบหมายสมบัติชิ้นสำคัญนั่นก็คือ
ให้รู้จักเป็นคนมีจิตเมตตา ให้มีเมตตาเป็นปกติ มีกรุณา มีมุทิตา มีอุเบกขา
แล้วก็มีการให้ทานการสงเคราะห์ รู้จักรักษาศีล
สำหรับศีลอย่าให้ขาดตลอดชีวิต
แล้วให้รู้ตัวอยู่เสมอว่าเราจะตาย
นี่สมบัติชิ้นสุดท้าย ... ที่ "หลวงพ่อสร้อย" มอบให้แก่บรรดานายทหารที่มีความเคารพในท่าน
และเมื่อพวกนายทหารได้รับมาแล้ว ก็มาบอกให้อาตมาทราบ
อาตมาก็บอกว่า ... นั่นเป็นของดีที่สุด
ที่คุณจะไปเอาพระ เอาตะกรุด อะไรนั่นก็ดีเหมือนกัน
ถ้าหากพวกคุณแขวนพระไว้แต่คุณประพฤติตัวเป็นโจร พระท่านก็ไม่เอาด้วย
เพราะหากว่าพระเป็นโจร พระก็ศีลขาด
ถ้าหากว่า คุณเอาพระแขวนคอไว้แล้ว ... ใจคุณเป็นพระ
หรือว่าคุณไม่มีพระแขวนคอ แต่ว่า ... ใจคุณเป็นพระ
ถึงแม้ว่าร่างกายคุณเป็นฆราวาส แต่ "ใจคุณเป็นพระ" แล้ว
ก็ชื่อว่า คุณเป็นพระทั้งตัว พระนี่แปลว่า ผู้ประเสริฐ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น