ธรรมะจากพระผู้รู้ - ฉบับที่ ๘๗
โดย หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ถาม - ภาวนาอย่างไรจึงจะเห็นว่ากายไม่ใช่เราได้คะ
เรามาหัดภาวนา มาดูของจริงนะ ดูลงในกาย ดูลงในใจ
กายกับใจเป็นสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นตัวเรามากที่สุด
เรารักที่สุดคือกายกับใจนี้ มาภาวนาก็มาดูลงที่กายที่ใจ แล้วจะเห็นเลย
ทุกอย่างที่ปรากฏขึ้นที่กายที่ใจนี่เป็นของชั่วคราวทั้งหมดเลย
อย่างร่างกายมันไม่แข็งแรงตลอดเวลา เดี๋ยวมันก็เจ็บป่วย
เจ็บป่วยนี่มันมีอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เราไม่รู้สึก
อย่างเรานั่งนานๆ มันก็เมื่อยนะ มันก็ป่วยเหมือนกัน
มันก็เจ็บมันก็ป่วย มันทรมาน นั่งมากๆ ก็ทุกข์ ยืนมากๆ ก็ทุกข์
เดินมากก็ทุกข์ นอนมากๆ ก็ทุกข์ นอนมากก็ทุกข์นะ
หลวงพ่อเคยเห็นคนเป็นอัมพาต นอนแล้วกระดิกตัวไม่ได้
อู๊ย ทุกข์มากเลย เป็นแผลกดทับไปเลย บางทีติดเชื้อตายไปง่ายๆ เลย
ฉะนั้นจริงๆ แล้วร่างกายเนี่ย ความจริงของเขาก็คือ
เขามีแต่ความทุกข์บีบคั้นตลอดเวลา
ร่างกายนี้นะ คล้ายๆ กับคนวิ่งหนีหมาล่าเนื้อนะ
ความทุกข์เหมือนหมาล่าเนื้อ วิ่งไล่กัดตลอดเวลาเลย
ตอนมีเรี่ยวมีแรงเราก็วิ่งหนีห่างออกได้นะ ก็รู้สึกค่อยยังชั่วหน่อย
แป๊ปเดียวมันตามมาอีกละ
เพราะฉะนั้น ความทุกข์มันตามบดขยี้ร่างกายนี้อยู่ตลอดเวลา
ถ้าเราภาวนาไปเกิดความรู้สึกอยู่ที่กาย เราก็จะเห็นความจริงเลย
ร่างกายนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ นั่งอยู่ก็ทุกข์ เดินก็ทุกข์ นอนก็ทุกข์
จะทำอะไรอะไรก็ทุกข์ไปหมดเลย หายใจออกหายใจเข้าก็ทุกข์
ใครว่าไม่ทุกข์นะ หายใจเข้าไปเรื่อยๆ ทุกข์เองล่ะ
หายใจออกไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ทุกข์เองล่ะ
ที่มันไม่ทุกข์เพราะมีการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนอิริยาบถไป
เช่นนั่งนานๆ แล้วเมื่อยก็ขยับตัว ก็เปลี่ยนอิริยาบถก็บดบังความทุกข์ชั่วครั้งชั่วคราว
หายใจออกแล้วเปลี่ยนไปมาหายใจเข้า มันก็ปิดบังไม่ให้เราเห็นความทุกข์
ความจริงแล้วมันทุกข์อยู่ตลอดเวลาเลย
ถ้าเราหัดภาวนานะ ตามรู้อยู่ที่กายมากเข้าๆ
ถึงจุดหนึ่งมันจะเห็นเลย ร่างกายมันทุกข์ล้วนๆ น่าเบื่อนะ
จะทิ้งมันก็ไม่ได้นะ จะไปไหนก็ต้องพามันไปด้วย หนีมันไม่ได้
คล้ายๆ เรานอนกอดความทุกข์อยู่ตลอดเวลา นอนกอดภาระอยู่ตลอดเวลา
พอใจมันเห็นความจริงตรงนี้ มันจะค่อยๆ คลายความรักในกายลง
มันจะเริ่มเห็นแล้วว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่ตัวเราที่แท้จริงหรอก
เป็นแค่วัตถุ เป็นก้อนธาตุ มีธาตุไหลเข้า มีธาตุไหลออกอยู่ตลอดเวลา
เช่น หายใจเข้าแล้วก็หายใจออก หายใจออกแล้วก็หายใจเข้า
กินอาหารแล้วก็ขับถ่ายอะไรงี้
เป็นแค่ก้อนธาตุแล้วก็หมุนไปเรื่อยๆ แล้วก็ความทุกข์ก็ตามบีบคั้นไปเรื่อยๆ
เนี่ยพอใจมันเห็นความจริงในกายมากเข้าๆ นะ ความรักในกายก็ลดลง
เบื้องต้นก็เห็นก่อน ร่างกายไม่ใช่เรา
ภาวนาไม่นานหรอกก็จะเห็นว่าร่างกายไม่ใช่เรา
ถาม - การถอดถอนความเห็นผิดว่าจิตเป็นเรา ต้องปฏิบัติอย่างไรคะ
เราจะรู้สึกว่าในร่างกายมีเราอยู่คนหนึ่ง
เราคนนี้เดี๋ยวนี้ กับเราคนนี้ตอนเด็กๆ ก็เป็นเราคนเดิม
วิธีที่จะถอดถอนความเห็นผิดว่าจิตเป็นเรานะ ต้องตามดูจิตไป
คอยรู้ความเปลี่ยนแปลงของจิต
เราจะเห็นว่าเดี๋ยวจิตก็สุข เดี๋ยวจิตก็ทุกข์ เดี๋ยวก็เฉยๆ นะ
มันสุขก็อยู่ชั่วคราว มันทุกข์ก็ชั่วคราว เฉยๆ ก็ชั่วคราว
มันหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มันไม่คงที่ มันไม่เที่ยง
จิตเดี๋ยวเป็นกุศล เดี๋ยวก็เป็นอกุศลนะ
เดี๋ยวก็โลภขึ้นมา พอมีสติรู้ทัน ความโลภก็ดับไป
เดี๋ยวโกรธมามีสติรู้ทัน ความโกรธก็ดับไป
เดี๋ยวหลงไปมีสติรู้ทัน ก็รู้สึกตัวขึ้นมา ความหลงก็ดับไป
ความฟุ้งซ่านเกิดขึ้นมา มีสติรู้ทัน ความฟุ้งซ่านก็หายไป
จิตใจหดหู่ มีสติรู้ทัน ความหดหู่ก็หายไป
มันจะเห็นแต่ว่าจิตใจนี้มันไม่เที่ยง เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ถ้าเมื่อไรเกิดความอยากขึ้นในจิต จิตจะถูกบีบคั้น จิตก็มีความทุกข์
นี้ความอยากมันเกิดทั้งวัน ถ้าเราหัดเจริญสติให้ดี รู้ทันจิตใจให้ดี
เราจะเห็นว่าจิตเรามีความอยากเกิดขึ้นตลอดเวลาเลย
เดี๋ยวอยากโน้น อยากนี้ อยากโน้น อยากนี้
เช่น อยากดู อยากฟัง อยากได้กลิ่น อยากได้รส
อยากกระทบสัมผัสที่ดีๆ อยากหนีการกระทบสัมผัสที่ไม่ดี
อยากคิดเรื่องดีๆ อยากให้จิตสนุกสนาน อยากให้มีความสุข
อยากจะให้ความทุกข์หายไป สารพัดที่จะอยาก
ทุกคราวที่ความอยากเกิดขึ้นที่จิตนะ จิตจะถูกบีบเค้น จิตจะถูกเค้น
จิตจะมีความทุกข์ขึ้นมา มีการบีบคั้นขึ้นมา
พวกเราหัดดูไปก็จะเห็น จิตมีแต่ทุกข์ล้วนๆ เลย
เฝ้าดูไป ดูไป ดูไป เห็นอีก จิตเองก็เป็นอนัตตานะ มันทำงานของมันได้เอง
มันสุขก็สุขของมัน มันทุกข์ก็ทุกข์ของมัน เราสั่งมันไม่ได้
สั่งให้สุขอย่างเดียวไม่ได้ ห้ามทุกข์ไม่ได้
สั่งให้ดีอย่างเดียวไม่ได้ ห้ามชั่วไม่ได้
มีแต่เรื่องบังคับไม่ได้ มีแต่เรื่องห้ามไม่ได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับ เรียกว่าอนัตตา
การที่เรามีสติดูไป ดูการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
จิตใจมีความทุกข์บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา
จิตใจมันทำงานของมันนะ ไม่ใช่เรา มันทำงานได้เอง
ดูไป ดูไป ไม่มีตัวเรา ในจิตนี้อีก ภาวนาไป เห็นจิตก็ไม่ใช่เรา
กายก็ไม่ใช่เรา จิตก็ไม่ใช่เรา ไม่มีตัวเราอื่นๆ ที่ไหนเลย
สิ่งที่เรารู้สึกว่าเป็นตัวเรา ก็อยู่ที่กายที่ใจ
ไม่ได้ไปอยู่ที่พื้นหรอก ไม่ได้อยู่ที่อากาศ ที่ภูเขา ที่ต้นไม้
มันอยู่ที่กายที่ใจ นั่นถ้าเมื่อไรเห็นว่า กายไม่ใช่เรา ใจไม่ใช่เรา
ก็จะไม่เห็นว่ามีอะไรเป็นเราอีกละ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น