วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล


หลวงปู่ขาว มีนามเดิมว่า ขาว โคระถา เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๔๓๑ ที่บ้านชะเนง ต.หนองแก้ว อ.เมือง จ.อำนาจ เจริญ โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายพั่วและนางรอด โคระถา ครอบครัวทำนาและค้าขาย

เมื่ออายุได้ ๒๐ ปี บิดามารดาได้จัดให้มีครอบครัว ภรรยาของท่านชื่อ นางมี และมีบุตรด้วยกัน ๓ คน ซึ่งต่อมาได้แยกทางกัน ท่านเป็นผู้มีนิสัยเด็ดเดี่ยวเอาจริงเอาจังมาก ประกอบกับความมีศรัทธาต่อหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา พ.ศ.๒๔๖๒ เมื่อท่านอายุได้ ๓๑ ปี ได้เข้าพิธีอุปสมบทที่วัดโพธิ์ศรี บ้านบ่อชะเนง ต.หนองแก้ว อ.เมือง จ.อำนาจเจริญ โดยมีพระครูพุฒิศักดิ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระอาจารย์บุญจันทร์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์

เมื่ออุปสมบทแล้ว หลวงปู่ขาวท่านได้จำพรรษาที่วัดโพธิ์ศรี เป็นเวลา ๖ พรรษา เนื่องจากท่านได้บังเกิดศรัทธาในปฏิปทาของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ท่านจึงเข้าญัตติเป็นพระธรรมยุต เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๘ อายุได้ ๓๗ ปี ณ พัทธสีมาวัดโพธิสมภรณ์ จ.อุดรธานี โดยมีพระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วได้จำพรรษาอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี เป็นเวลา ๘ ปี จากนั้นได้เดินธุดงค์ตามพระอาจารย์หลวงปู่มั่น ไปปฏิบัติธรรมในสถานที่ต่างๆ ท่านออกเดินทางไปแทบทุกภาคของประเทศ นอกจากนี้ ท่านยังได้เคยเดินธุดงค์ร่วมกับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร, หลวงปู่แหวน สุ จิณโณ, หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม, หลวงปู่ชอบ ฐานสโม เป็นเวลารวมกันหลายปีอีกด้วย

หลวงปู่ขาวได้สร้างบารมีอยู่ในป่าเขา เป็นเวลายาวนาน มีประสบการณ์มากมายเกี่ยวกับสัตว์ป่าทั้งหลาย เช่น ลิง ค่าง ช้าง เสือ เวลาท่านนึกถึงอะไร สิ่งนั้นมักจะมา ตามความรำพึงนึกคิดเสมอ เช่น นึกถึงช้าง ว่าหายหน้าไปไหนนานไม่ผ่านมาทางนี้เลย พอตกกลางคืนดึกๆ ช้างก็จะมาหาจริงๆ และเดินตรงมายังกุฏิที่ท่านพักอยู่ พอให้ ท่านทราบว่าเขามาหาแล้ว ช้างก็จะกลับเข้าป่าไป เวลาที่ท่านนึกถึงเสือ ก็เช่นกัน นึกถึงตอนกลางวัน ตกกลางคืนเสือก็มาเพ่นพ่านภายในวัดบริเวณที่ท่านพักอยู่

หลวงปู่ขาว อนาลโยมีความเด็ดเดี่ยวในข้อวัตรปฏิบัติมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเดินจงกรม หลวงปู่ขาวได้เน้นเป็นพิเศษ กล่าวคือ เมื่อฉันเสร็จ เริ่มเดินจงกรมเป็นพุทธบูชา พอถึงบ่ายสองโมงเริ่มเดินจงกรมถวายเป็นธรรมบูชา จนถึงบ่าย ๔ โมง และเมื่อทำข้อวัตรเสร็จสิ้นแล้วก็จะเริ่มเดินจงกรมถวายเป็นสังฆบูชา จนถึงประมาณ ๔-๕ ทุ่ม จึงเข้าที่พักเพื่อบำเพ็ญภาวนาต่อไป

หลวงปู่ขาว อนาลโยได้บำเพ็ญเพียรออกธุดงค์ เพื่อเผยแผ่พระธรรม คำสอนตามสถานที่ต่างๆ หลายแห่ง จนอายุ ๗๐ ปี จึงจำพรรษาเป็นการถาวรที่วัดป่าถ้ำกลองเพล หลวงปู่ขาวเป็นภิกษุ ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มีข้อวัตรปฏิบัติงดงาม สมควรจดจำเป็นแบบอย่าง ในช่วงบั้นปลายชีวิต หลวงปู่ขาวมีอาการอาพาธอยู่ถึง ๙ ปี แต่สุขภาพจิต ยังดี มีนิสัยรื่นเริง ติดตลก ในระยะ ๓ ปีสุดท้าย นัยน์ตาของท่านมืดสนิท เพราะต้อแก้วตาหรือต้อกระจก หูก็ตึงมาก เพราะหินปูนจับกระดูก แต่ท่านมิได้เดือดร้อนใจ และสามารถบอกกำหนดอายุขัยของตนเองได้

พระอาจารย์ขาว ท่านมีคำสอนที่ว่า "ปล่อยจิตว่าง แล้วจิตสบาย เพราะจิตเป็นหนึ่งไม่ขุ่นมัว ไม่มีอารมณ์มาฉาบทาดวงจิตแล้ว ดวงจิตใส ดวงจิตขาว จิตเย็นมีแต่ความสบาย รู้เท่าสังขาร รู้เท่าความเป็นจริง จิตเราไม่หวั่นไหวต่อสิ่งทั้งปวง ถึงมรณะจะมาถึงก็ตาม ทุกข เวทนา เจ็บปวด มาถึงก็ตาม ไม่มีความหวั่นไหวต่อสิ่งเหล่านั้น"

กระทั่งวันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๖ หลวงปู่ขาวได้มรณภาพลงอย่างสงบ สิริอายุ ๙๕ ปี ๖๔ พรรษา ในวันพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ขาว เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธาน พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระ บรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวันดังกล่าววัดถ้ำกลองเพล ซึ่งมีอาณาบริเวณหลายพันไร่ กลับคับแคบไปถนัดตา เพราะประชาชนจากทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลกันมาร่วมมากเป็นประวัติการณ์

ธรรมโอวาท

ต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาของท่าน ที่ได้เทศน์โปรดพระเณรและญาติโยม ณ บ้านย่อชะเนง (บ้านเกิดของท่าน) "คนเกิดมาไม่เหมือนกัน เพราะมีความประพฤติที่ต่างกัน ผู้ที่เขาประพฤติดี รักษาศีล มีการให้ทาน มีการสดับรับฟังพระธรรม เขาจึงมีปัญญาดี มีการศึกษาเล่าเรียนดี

การจำแนกสัตว์ให้ดีให้ชั่วต่าง ๆ กัน มันเป็นเพราะกรรม ถ้ามันยังทำกรรมอยู่ ก็ต้องได้รับผลกรรมทั้งกรรมดีกรรมชั่ว มันต้องได้รับผลตอบแทน เหตุนี้ เราจึงควรทำกุศล รักษาศีลให้บริสุทธิ์สมบูรณ์ แล้วทำสมาธิจะมีความสงบสงัด จิตรวมลงได้ง่าย เพราะมันเย็น มันราบรื่นดีไม่มีลุ่มไม่มีดอน

จงพากันทำไปใน อิริยาบถทั้งสี่ นั่ง นอน ยืน เดิน อะไรก็ได้ แล้วแต่ความถนัด แล้วแต่จริต อันใดมันสะดวกสบายใจ หายใจดี ไม่ขัดข้องฝืดเคือง อันนั้นควรเอาเป็นอารมณ์ของใจ

พุทโธ พุทโธ หมายความว่า ให้ใจยึดเอาพุทโธเป็นอารมณ์ เพื่อป้องกันไม่ให้จิตออกไปสู่อารมณ์ภายนอก เพราะอารมณ์ภายนอกมันชอบไปจดจ่ออยู่กับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ความถูกต้องทางกาย หากทุกสิ่งทุกอย่างมันไปจดจ่ออยู่ที่นั่น จิตมันจะไม่รวมลง นี่แหละ เรียกว่า มาร คือ ไม่มีสติ อย่าให้จิตไปจดจ่ออย่างนั้น ให้มาอยู่กับผู้รู้ ให้น้อมเอา พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นอารมณ์ จะอยู่ในอิริยาบถใด ก็ให้มีความเพียร

ผู้ที่ภาวนาจิตสงบลงชั่วช้างพับหู งูแลบสิ้น ชั่วไก่ดินน้ำ นี่ อานิสงส์อักโข ให้ตั้งใจทำไป การที่จิตรวมลงไปบางครั้ง มี ๓ ขั้นสมาธิ คือ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ

หากรวมลง ขณิกสมาธิ เราบริกรรมไป พุทโธ หรืออะไรก็ตาม จิตสงบไปสบายไปสักหน่อยมันก็ถอนขึ้นมา ก็คิดไปอารมณ์เก่าของมันนี่

ส่วนหากรวมลงไปเป็น อุปจารสมาธิ ก็นานหน่อยกว่าจะถอนขึ้นไปสู่อารมณ์อีกให้ภาวนาไปอย่าหยุดอย่าหย่อน ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องไปนึกคาดหวังอะไร อย่าให้มีความอยาก เพราะมันเป็นตัณหา ตัวขวางกั้นไม่ให้จิตรวม ไม่ต้องไปกำกับว่า อยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ การอยากให้จิตรวมลง เหล่านี้แหละเป็นนิวรณ์ตัวร้าย

ให้ปฏิบัติความเพียรไม่หยุดหย่อน เอาเนื้อและเลือด ตลอดจนชีวิตถวายบูชาพระพุทธเจ้าพระธรรม และ พระสงฆ์ เราจะเอาชีวิตจิตใจ ถวายบูชาพระรัตนตรัย ตลอดจนวันตาย นี่ก็เป็นมัชฌิมาปฏิปทา แล้วจิตจะรวมลงอย่างไร เมื่อไร ก็จะเป็นไปเองเมื่อใจเป็นกลาง ปล่อยวาง สงบถูกส่วน"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น