วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เกษตรพอเพียงกับความไม่เพียงพอ


ตัวผู้เขียนเองก็เป็นมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งที่ทำงานในบริษัทที่เรียกได้ว่าบริษัทชั้นนำระดับประเทศเลยก็ว่าได้  แต่เงินเดือนที่ได้เมื่อลองบวกลบกลบหนี้แล้วมันก็ยังไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายในเมืองกรุง  ที่หลายคนว่ากันว่าเป็นศิวิลัย  ซึ่งเมื่อตอนเด็กเองผมก็เคยคิดเช่นนั้นนะ ว่าเราทำงานในเมืองหลวงน่าจะมีเงินเดือนเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเลี้ยงครอบครัวดูแลพ่อแม่ได้  แต่พอเข้ามาอยู่จริงๆ มันไม่ใช่อ่ะ  ผมเองพอมีที่นาอยู่บ้าง  แต่ไม่มีเวลาพอที่จะกลับไปทำเองได้เลย  ซึ่งหลายต่อหลายปีก็ให้คนอื่นทำมาโดยตลอดเนื่องจากพ่อผมเองไม่มีแรงที่จะทำแล้ว ทำให้ผมเริ่มคิดว่าเราอยู่อย่างนี้เงินเดือนก็ไม่พอไม่รู้จะทำอะไรดี  เขียนเว็บบล๊อกโพสข้อความก็นานก็จะได้เงินสักบาท  ประจวบเหมาะกับป้าผมเองก็เป็นห่วงจะให้คนอื่นทำนาไปอย่างนี้มันไม่ดี
  ป้าผมเลยบอกให้ผมทำนาเอง  เดี๋ยวแกจะช่วยดูแลให้พร้อมสอนว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง  ก็เริ่มจากการไถพลิกดินเอาไว้  โดยช่วงที่ไถนั้นควรจะเป็นช่วงที่แดดจัดเพื่อให้หญ้าได้ตายบ้างในช่วงเดือนมีนาคมจึงเป็นช่วงที่เริ่มทำนาของผมแล้วซิ  การไถนานั้นเดี๋ยวนี้สะดวกมากไม่ต้องใช้ความเหมือนแต่ก่อนแล้ว  ใช้รถไถแบบนั่งคันใหญ่ไถเลย จ้างก็ตกไร่ละ 200 บาท  ในเดือนพฤกภาคมก็มาถึงป้าผมก็คัดเอาเมล็ดพันธุ์ข้าวแบบดีให้เลยเพื่อวานให้กลัวข้าวหลานตัวเองไม่สวย  อิอิ..  พื้นที่นาของผมเองเป็นแบบแปลงใหญ่เลยและชาวบ้านก็นิยมว่านแล้วไถกลบคือไม่มีไปว่านกล้าแล้วค่อยดำนาไม่แล้วครับ  เดี๋ยวนี้สะดวกมากเลย  ช่วงเดือนมิถุนายนก็เป็นช่วงของการว่านปุ๋ยและกำจัดวัชพืชกันแล้วก็ได้เวลาเสียตังค์อีกแล้ว  แต่ช่วงนี้ก็ไม่ค่อยมีเงินเท่าไหร่  แต่ก็หวังผลในช่วงปลายปีถือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงอยู่บ้างแต่น้อยกว่าการลงทุนอย่างอื่น  และที่เล่ามาทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาของเกษตรพอเพียงกับความไม่เพียงพอกับกิเลสตัณหาที่เกิดจากความอยากได้อยากมีของคนในกรุงเทพฯ  วันนี้ก็ได้เวลาอันสมควรแล้ว ง่วงแล้วล่ะครับ  วันหลังจะเล่าต่อนะครับ  โปรดติดตามตอนต่อไปกับการทำเกษตรของผมเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น