ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960 นักทฤษฎีการเรียนรู้เริ่มตระหนักว่า การที่จะเข้าถึงการเรียนรู้ได้อย่างสมบูรณ์นั้น จะต้องผ่านการพิจารณา ไตร่ตรอง การคิด (Thinking) เช่นเดียวกับพฤติกรรม และควรเริ่มสร้างแนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ในทรรศนะของ การเปลี่ยนแปลงกระบวนการคิด(Mental change) มากกว่าการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม ดังนั้นจึงมี การเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากความสนใจเกี่ยวกับสิ่งเร้ากับการตอบสนอง
กลุ่มพุทธิปัญญา (Cognitivism)
กลุ่มพุทธิปัญญา ให้ความสนใจเกี่ยวกับกระบวนการคิด การให้เหตุผลของผู้เรียน ซึ่งแตกต่างจากทฤษฎีการเรียนรู้ของกลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ที่มุ่งเน้นพฤติกรรมที่สังเกตได้เท่านั้น โดยมิได้สนใจกับกระบวนการคิดหรือกิจกรรมทางสติปัญญาของมนุษย์ (Mental activities) ซึ่งเป็นสิ่งที่นักจิตวิทยากลุ่มพุทธิปัญญาตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องศึกษากระบวนการดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่สามารถสังเกตได้ โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ พุทธิปัญญา (Cognitive) เป็นการให้ความสำคัญในการศึกษาเกี่ยวกับ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้าภายนอก (ส่งผ่านโดยสื่อต่าง ๆ) กับสิ่งเร้าภายใน ซึ่งได้แก่ ความรู้ความเข้าใจ หรือ กระบวนการรู้-คิด หรือ กระบวนการคิด (Cognitive process) ที่ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ ขอบเขตที่เกี่ยวข้องกับ กระบวนการคิด (Cognitive process) ได้แก่
กระบวนการคิด (Cognitive Process)
ความใส่ใจ (Attending)
การรับรู้ (Perception)
การจำได้ (Remembering)
การคิดอย่างมีเหตุผล (Reasoning)
จินตนาการหรือการวาดภาพในใจ (Imagining)
การคาดการณ์ล่วงหน้าหรือการมีแผนการณ์รองรับ(Anticipating)
การตัดสินใจ(Decision)
การแก้ปัญหา (problem solving)
การจัดกลุ่มสิ่งต่างๆ (Classifying)
การตีความหมาย (Interpreting) ฯลฯ
นักจิตวิทยากลุ่มพุทธิปัญญานิยม (Cognitivism)
ทฤษฎีการเรียนรู้ตามแนวความรู้ความเข้าใจนี้จำแนกย่อยออกเป็นหลายทฤษฎีเช่นกัน แต่ทฤษฎีซึ่งเป็นที่ยอมรับกันมากในระหว่างนักจิตวิทยาการเรียนรู้ และนำมาประยุกต์ใช้กันมากกับสถานการณ์การเรียนการสอน
ตัวอย่างเช่น
ทฤษฎีพัฒนาการเชาว์ปัญญาของเพียเจต์ (Piaget)
ทฤษฎีการเรียนรู้โดยการค้นพบของบรูเนอร์ (Bruner)
ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมายของ ออซูเบล (Ausubel)
ทฤษฎีการประมวลสารสนเทศของคลอสไมเออร์ (Klausmeier)
ทฤษฎีความรู้เกี่ยวกับความคิดของตัวเอง ( Meta Cognitive )
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น