วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2558

จงมีสติเป็นวินัย : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ



พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

...

ให้พากันสำรวจตรวจตราดู "อาการกาย อาการวาจา" ของตน
แต่ละวันแต่ละคืนนะ ตนสำรวมแล้วด้วยดีหรือยัง อันนี้ก็นับว่าสำคัญอยู่
บางคนมันเผลอสติมาก เมื่อเผลอสติมากมันก็ล่วงได้
มันก็ล่วงสิกขาบทที่สมาทานมานั้นไปได้เลยโดยไม่รู้ตัวก็มี
แต่บางคนล่วงทั้งที่รู้ๆตัวอยู่ก็มี เช่นนี้แหละ
เพราะฉะนั้น ..การ "รักษาศีล" ก็คือการอบรม "สติ" ให้เข้มแข็งนั้นเองนะ
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "จงเป็นผู้มีสติเป็นวินัย"
ธรรมดาวินัยน้อยใหญ่เหล่านั้นถ้ามีสติอยู่ซะอย่างเดียวแล้ว
มันก็ไม่ได้ล่วงนะ..ไม่ได้ล่วง มันเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นสตินี้เป็นสิ่งที่จำต้องปรารถนาทุกครั้งทุกเวลา
ซึ่งไม่เหมือนอย่างธรรมข้ออื่นๆ

ธรรมข้ออื่นๆนั้น เราต้องนำมาใช้เป็นบางครั้งบางคราว
ยกตัวอย่างให้ฟัง เช่นอย่างเมตตาอย่างนี้นะ
เอ้า พอความโกรธมันทำท่าจะเกิดขึ้นอย่างนี้
มันก็นึกถึงเมตตาขึ้นมา พอเมตตาธรรมบังเกิดขึ้นแล้ว
ความโกรธมันก็ถอยไป เมื่อความโกรธระงับไปแล้วอย่างนี้
เมตตาก็ระงับไปตามกัน จิตใจก็เป็นหนึ่ง..เป็นปกติอยู่ เป็นอย่างนั้น
ทีนี้ไปๆถ้าเผลอๆตัวแล้วรู้สึกว่าใจมันจะหงุดหงิดขึ้นมา
กับบุคคลใดบุคคลหนึ่งขึ้นมา พอนึกถึงเมตตาธรรมขึ้นมา
ไอ้ความหงุดหงิดนั้นมันก็หายไป

นี่คุณธรรมนอกนั้นน่ะเอามาใช้ระงับกิเลสเป็นบางครั้งบางคราว
แต่ส่วน "สติ" นี้..ต้องมีอยู่ทุกเมื่อ ให้พากันเข้าใจ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น