วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ประเพณีตักบาตรขนมครก-น้ำตาลทราย


 ขอชวนร่วมประเพณีตักบาตรขนมครก-น้ำตาลทราย ประเพณีโบราณที่จะถูกจัดขึ้นทุกวันขึ้น 8 ค่ำเดือน 10 ของทุกปี ปีนี้ตรงกับวันที่ 12 กันยายน 2556 เวลา 07.00-11.00 น. ณ วัดแก่นจันทร์เจริญ ตำบลบางพรม อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อสืบทอดประเพณีทำบุญตักบาตรที่มีมาแต่พุทธกาล โดยประเพณีตักบาตรขนมครกนี้ได้มีการเลียนแบบมาจากประเพณีการตักบาตรขนมเบื้องของพระราชพิธีในวัง ซึ่งเป็นพระราชพิธีที่สืบทอดมาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาจนถึงปลายรัชสมัยรัชกาล ที่ 5

        ปัจจุบันชาวบ้านจะร่วมแรงร่วมใจนำข้าวสารมาหมักค้างคืนไว้ พอถึงรุ่งเช้าก็จะช่วยกันโม่แป้ง เก็บมะพร้าวมาคั้นกะทิ หลังจากนั้นก็ช่วยกันหยอดแป้งทำขนมครก และร่วมกันตักบาตรพระสงฆ์ด้วยขนมครก กิจกรรมภายในงาน ชมการแข่งขันขูดมะพร้าว โม่แป้ง ประกวดขนมครก และการแสดงอื่นๆ สอบถามเพิ่มเติม วัดแก่นจันทร์เจริญ โทร. 0 3476 1510

เทศกาลอาหารหัวหิน 2013 เทศกาลของคนรักอาหารอร่อย!


ขอชวนเที่ยงงานเทศกาลอาหารหัวหิน (HUA HIN FOOD FEST 2013) ในช่วงระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม – 1 กันยายน ปีพ.ศ.2556 ณ สวนหลวงราชินี (19 ไร่) ริมชายหาด เวลา 18.30 น. – 23.30 น.

        สำหรับกิจกรรมภายในงาน ได้แก่ การออกร้านจำหน่ายอาหาร จากร้านอาหารและโรงแรมชื่อดังของหัวหิน การจำหน่ายอาหารจากสมาชิกของสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวหัวหิน/ชะอำ ชมการแข่งขันบาร์เทนเดอร์ คอนเทสต์ การแข่งขันปรุงอาหารจากโรงเรียนและสถาบันที่มีการเรียนการสอน การแข่งขันแกะสลักน้ำแข็ง การประกวดการจัดพื้นที่ของโรงแรมหรือขวัญใจชาวโรงแรม

        นอกจากนี้ จะมีการแสดงดนตรีจากศิลปินแกรมมี่ ศิลปินในเมืองหัวหิน และการแสดงของนักเรียน นักศึกษา สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ งานส่งเสริมการท่องเที่ยว เทศบาลเมืองหัวหิน 032-511047 ต่อ 100

วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สนุกสนานท้าทายกับ "เทศกาลชิมกาแฟแก่งซอง ล่องแก่งลำน้ำเข็ก ปี 2556"


ขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวเทศกาลชิมกาแฟแก่งซอง ล่องแก่งลำน้ำเข็ก ปี 2556 ในช่วงระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน - 31 ตุลาคม ปีพ.ศ.2556 โดยในปีนี้นักท่องเที่ยวร่วมค้นหาประสบการณ์การผจญภัยในกิจกรรมชิมกาแฟแก่งซอง ล่องแก่งน้ำเข็ก ที่สนุกสนานและท้าทาย ด้วยกิจกรรมล่องแก่งลำน้ำเข็ก เริ่มต้นจากบริเวณบ้านทรัพย์ไพรวัลย์ ตำบลแก่งโสภา อำเภอวังทอง ล่องไปสู่บริเวณตอนบนของน้ำตกแก่งซอง

        สำหรับความพิเศษของการล่องแก่งนี้จะเริ่มต้นจากกระแสน้ำนิ่ง ระดับ 1 และเข้าสู่ระดับน้ำที่มีความสนุกสนานท้าทายขึ้นตามลำดับจนกระทั่งถึงระดับสูงสุด คือ ระดับ 5 ในช่วงท้าย ซึ่งลำน้ำจะขนานไปกับทางหลวงหมายเลข 12 (สายพิษณุโลก-หล่มสัก) รวมระยะทางในการล่องแก่งทั้งสิ้นประมาณ 8 กิโลเมตร ผ่าน 18 แก่ง ใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง แล้วแต่ระดับน้ำ และความยากง่าย และกิจกรรมล่องแก่งเก็บขยะ

        สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดนิทางไปท่องเที่ยวเทศกาลชิมกาแฟแก่งซอง ล่องแก่งลำน้ำเข็ก ปี 2556 สามารถสอบถามรายละเอียด ททท. สำนักงานพิษณุโลก โทร. 0 5525 2742-3 ชมรมล่องแก่งพิษณุโลก โทร. 08 7210 3843

แข่งขันโปโลช้างชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจำปี 2556


กลุ่มโรงแรม รีสอร์ท และสปา ในเครืออนันตรา ประกาศกำหนดการแข่งขันโปโลช้างชิงถ้วยพระราชทาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจำปี 2556 ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 12 โดยโรงแรมอนันตราหัวหิน รีสอร์ทแอนด์สปา ได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรมการแข่งขันโปโลบนหลังช้าง ประจำปี 2556 ชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (King’s Cup Elephant Polo) ในวันที่ 28 สิงหาคม – 1 กันยายน 2556 ณ สนามค่ายสมเด็จพระสุริโยทัย ต.หนองแก อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ (ตรงข้ามสวนสนประดิพัทธ์) โดยนำรายได้ช่วยเหลือมูลนิธิช้าง สามเหลี่ยมทองคำ จังหวัดเชียงราย

        ซึ่งปัจจุบันสามารถระดมทุนเพื่อช่วยเหลือช้างไทยได้กว่า 600,000 ดอลลาร์สหรัฐ การแข่งขันครั้งนี้ คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมการแข่งขันจากหลายประเทศ และนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้าเที่ยวชมจำนวนมาก โดยจะมีกิจกรรมมากมายที่จะมาสร้างความสนุกตื่นเต้นทั้งในและนอกสนามตลอดการจัดงาน

        โดยการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ในวันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน 2556 ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้มีผู้แทนพระองค์พระราชทานรางวัลแก่ผู้เข้าแข่งขันที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ

วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556

รีไฟแนนซ์รถคันแรก


ถ้ารีไฟแนนซ์รถคันแรก
       ในปีที่แล้ว2555 นโยบายรถคันแรกทำให้มีคนสนใจออกรถกันเป็นจำนวนมหาศาลกันเลยทีเดียวมีทั้งผู้ที่ประวัติเครดิตปกติและคนที่ติดเครดิตหรือที่ชอบเรียกกันว่าติดแบล็คลิสต์สนใจโครงการรถคันแรกเป็นจำนวนมาก ก็มีทั้งผู้ที่ขอสินเชื่อรถอนุมัติผ่านและผู้ที่ไม่สมหวังเพราะติดเครดิตอยู่ทำให้ไม่สามารถได้รับสิทธิรถคันแรกได้จึงทำให้ผิดหวัง และก็ยังมีกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งที่มีกำลังซื้อหรือมีคนออกเงินสดให้ไปซื้อรถในโครงการรถคันแรกด้วยเงินสด
       หลังจากเข้าโครงการรถคันแรกเรียบร้อยแล้ว ได้รับสิทธิคืนภาษีมาแล้วเกิดมีความต้องการจะ
รีไฟแนนซ์รถคันเเรกเกิดคำถามว่าจะสามารถรีไฟแนนซ์รถคันเเรกได้หรือเปล่า ทั้งที่ซื้อด้วยเงินสดและขอสินเชื่อรถยนต์จึงมีคำถามเกิดขึ้นในใจ โดยการรีไฟแนนซ์รถไม่ได้ผิดเงื่อนใข โดยการรีไฟแนนซ์ ยังเป็นชื่อของตัวเองไม่เสียสิทธิ์

      รถคันแรกที่ผ่อนอยู่สามารถโอนสิทธิ์เปลี่ยนลีสซิ่งรถได้หรือผู้ที่ซื้อรถคันแรกด้วยเงินสดก็สามารถนำรถเข้าไฟแนนซ์เพื่อขอรีไฟแนนซ์รถกับลิสซิ่งรถได้แต่ต้องใช้ชื่อเดิมในการขอสินเชื่อรถยนต์เป็นชื่อเดียวกับผู้ที่ยื่่นขอสิทธิ์รถคันแรกและยังครอบครองรถอยู่ในระยะเวลา5ปี ก็ถือได้ว่ายังรักษาสิทธิ์รถคันแรกไว้ได้อยู่แต่ถ้าภายในระยะเวลา5ปี ทำการเปลี่ยนชื่อจากผู้รับสิทธิ์รถคันแรกเป็นบุคคลอื่นเมื่อใด เท่ากับผิดเงื่อนไข

วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2556

พระกริ่งชินบัญชรหลวงปู่คำผารุ่นแรก


   หลวงปู่คำผา ฆรมุตโต วัดป่าคำนกถัว ต.บ้านดงสวรรค์ อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร ท่านเป็นพระปฏิบัติดี ในสายพระป่ากรรมฐาน และเป็นพระเถรานุเถระแต่ก็ไม่ล่ะในวัตรปฏิบัติ อาทิ การออกบิณฑบาตทุกเช้าเป็นภาพที่ประทับใจมาก แม้จะมีธาตุขันธ์ที่ไม่อำนวยในการเดินเหิน

              เมื่อปลาย พ.ศ.๒๕๔๗ ในขณะที่หลวงปู่คำผา ออกบิณฑบาตตามเวลาปกตินั้น ได้มีรถทัวร์วิ่งมาจากจังหวัดอุดรธานี วิ่งเข้าชน หลวงปู่คำผาในขณะที่กำลังบิณฑบาต พร้อมกับโยมที่กำลังใส่บาตรในเช้าวันนั้น แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าการรอดชีวิตของหลวงปู่คำผา เนื่องจากกระดูกซี่โครงขวาหัก ๖ ซี่ ซี่โครงซ้ายหัก ๒ ซี่นั้น ก็คือ เมื่อคุณหมอได้เอกซเรย์ ร่างกายของหลวงปู่คำผานั้น ปรากฏสิ่งที่น่าแปลกใจคือกระดูกของหลวงปู่คำผาบางส่วนมีลักษณะใสคล้ายเนื้อแก้ว และตั้งแต่นั้นมาคุณหมอท่านนั้นก็เข้ากราบนมัสการหลวงปู่คำผาเป็นประจำตลอดมาจนถึงปัจจุบันนี้

ประวัติของหลวงปู่คำผา ฆรมุตฺโต วัดป่าคำนกถัว


หลวงปู่เองกำเนิดในตระกูลมณีเทพฝ่ายบิดา   ฝ่ายมารดานามสกุลอุฒาธรรม    มารดาเล่าให้หลวงปู่ฟัง  ก่อนหลวงปู่จะลงสู่ครรถ์มารดามารดาฝันว่าหลวงปู่ที พันฺธุโล เอามีดโกนมาให้ ซึ่งหลวงปู่ที เป็นญาติของหลวงปู่ฝ่ายมารดา แต่นั้นมาจนคลอดออกมาบิดามารดา ตั้งชื่อให้ว่า คำผา มณีเทพ  หลวงปู่เกิดวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๔๗๒ วันจันทร์  บิดานามว่า อ่อน มณีเทพ มารดานามว่า หมิด อุฒาธรรม เกิดในตระกูลยากจน เกิดที่บ้านนาเตียง หมู่ ๔ ตำบลตาลเนิ้ง อำเภอบ้านหัน จังหวัดสกลนคร สมัยนี้เป็นอำเภอสว่างแดนดิน สมัยก่อนความเจริญไม่มี การศึกษาก็โรงเรียนที่วัด วันหยุดก็วันเดียวคือวันพระน้อยวันพระใหญ่ หลวงปู่เรียนจบชั้นประถมปีที่ ๔ หลวงปู่เป็นบุตรคนที่ ๓ ออกโรงเรียน พ.ศ. ๒๔๘๔-๒๔๘๕  มารดาเสียชีวิตหลวงปู่ได้ดูแลครอบครัวมาตลอด เป็นทั้งผู้ชายและผู้หญิง จนอายุได้ ๑๘ ปีได้เข้าบวชกับหลวงปู่ที พันธุโล ญาติของหลวงปู่เอง บวชเป็นสามเณรอยู่ ๓ ปีบวชเป็นพระอีก ๑ ปี ได้สิกขาลาเพศออกไปช่วยบิดาและน้องๆทำงาน เมื่ออายุได้ ๒๑ ปีได้แต่งงานกับ นาง สม โคตรสมบูรณ์ มีบุตรด้วยกัน ๑๐ คน ชาย ๕ คน หญิง ๕ คน
                    ในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ เกิดขัดสนทางการทำมาหากินจึงได้ย้ายครอบครัวมาอยู่บ้านหนองหว้า ตำบลทรายมูล อำเภอสว่างแดนดิน ห่างจากบ้านเดิมประมาณ ๑๐-๒๐ กิโลเมตร ได้อยู่กินกันมาตลอดถึง ๒๐กว่าปี จนอายุหลวงปู่ได้ ๕๒ ปีจึงได้เข้าร่มกาสาวพัสตร์

วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อช.แก่งกระจานประกาศปิดพื้นที่อุทยาน ตั้งแต่วันที่ 1 สค - 31 ตค 2556


อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ประกาศปิดพื้นที่อุทยาน ตั้งแต่บริเวณด่านสามยอด - บ้านกร่าง - เขาพะเนินทุ่ง ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม - 31 ตุลาคม ปีพ.ศ.2556 เนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝนจึงไม่สะดวกแก่การเดินทางท่องเที่ยวในช่วงบริเวณพื้นที่ดังกล่าว เเละเพื่อเป็นการให้ธรรมชาติได้พื้นตัว

      โดยจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวในพื้นที่ได้อีกครั้งในวันที่ 1 พฤศจิกายน ปีพ.ศ.2556 โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ติดต่อสอบถาม โทร.032-459293

สั่งปิดน้ำตกเขาสอยดาว ห้ามนักท่องเที่ยวลงเล่นน้ำตก


นายสุทธิชัย บรรพต หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว อำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี เปิดเผยว่า ช่วงนี้มีฝนตกต่อเนื่องเหนือเทือกเขาสอยดาว ซึ่งเป็นต้นน้ำของแม่น้ำหลายสายในภาคตะวันออก ทั้งแม่น้ำจันทบุรี แม่น้ำกบินทร์บุรี แม่น้ำปราจีนบุรี และ แม่น้ำบางปะกง ส่งผลให้ปริมาณน้ำตกเขาสอยดาวเพิ่มระดับมากขึ้นเรื่อยๆ

        โดยล่าสุดมีความลึกกว่า 4 เมตร ภายในระยะเวลาเพียงกว่า 10 วัน รวมทั้ง สภาพอากาศทั่วบริเวณเทือกเขาสอยดาวสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายจากลมพายุ กิ่งไม้หักโค่น ฝนตกรุนแรง ก่อให้เกิดอันตรายต่อนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาท่องเที่ยวยังเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาวได้ตลอดเวลา จึงได้ปิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว ห้ามนักท่องเที่ยวเข้ามาทำกิจกรรมทุกประเภทที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเอง

วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สิงหาพาแม่เที่ยว กับกิจกรรม“ปู๊น ปู๊น ฉึกฉัก หลงรักอีสาน”



ททท. จับมือผู้ประกอบการขาย 2 แพ็คเกจกระตุ้นท่องเที่ยวอีสานกลางคึกคัก โดย นายนพรัตน์ กอกหวาน ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท .)สำนักงานขอนแก่น เปิดเผยว่า ในช่วงวันหยุดเทศกาลวันแม่ เป็นช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวนิยมออกเดินทางท่องเที่ยวพร้อมครอบครัว

      ซึ่งในปีนี้ ททท.ได้ร่วมมือกับ การรถไฟแห่งประเทศไทย ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และสมาคมผู้ประกอบการนำเที่ยวไทย (สนท.) จัดรายการนำเที่ยวทางรถไฟในช่วงเทศกาลวันแม่ “ปู๊น ปู๊น ฉึกฉัก หลงรักอีสาน” ในเส้นทาง “ไหว้พระธาตุอีสาน 4 เมือง รุ่งเรืองตลอดชีวิต” กรุงเทพ ฯ – ขอนแก่น – มหาสารคาม – ร้อยเอ็ด – กาฬสินธุ์ ในระหว่าง วันที่ 9 – 13 สิงหาคม 2556 เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลวันแม่ และส่งเสริมให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวทางรถไฟมากยิ่งขึ้น

        ซึ่งรายการนำเที่ยวดังกล่าวได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัวและกลุ่มท่องเที่ยวเชิงศาสนา โดยมีการจองเต็มจำนวน 80 ท่าน ร่วมเดินทาง ไปสัมผัสแหล่งท่องเที่ยวในเส้นทางอิ่มบุญ “ไหว้พระธาตุอีสาน 4 เมืองรุ่งเรืองตลอดชีวิต” สักการะพระธาตุขามแก่น และ พระมหาธาตุแก่นนคร จ.ขอนแก่น พระ ธาตุนาดูน จ.มหาสารคาม พระมหาเจดีย์ชัยมงคล จ.ร้อยเอ็ด และ พระธาตุยาคู จ.กาฬสินธุ์ พร้อมเที่ยวชมสัมผัสเรียนรู้วิถีวัฒนธรรมในแหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียง

        นอกจากนี้บริษัทพุทธบารมีทัวร์ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวเมืองขอนแก่น ยังร่วมเสนอขายแพ็คเกจทัวร์ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในพื้นที่อีสานกลางช่วงเทศกาล วันแม่อีกด้วย โดยนำเสนอขายแพ็คเกจ 3 วัน 2 คืน “สิงหาพาแม่ไปทำบุญ สักการะพระบรมสารีริกธาตุ 9 ประเทศ” ตามเส้นทางกรุงเทพ ฯ – นครราชสีมา – ขอนแก่น ระหว่างวันที่ 9 – 11 สิงหาคม 2556 ในราคาพิเศษ โดยผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดและจองแพ็คเกจทัวร์ดังกล่าวได้ที่ บริษัทพุทธบารมีทัวร์ โทร 08 – 3288 – 9993, 08 – 7723 – 1133

        ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานขอนแก่น กล่าวเพิ่มเติมว่าความร่วมมือในการส่งเสริมการท่องเที่ยวดังกล่าว สามารถกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวเข้าสู่พื้นที่ อีสานกลาง และตอกย้ำกระแสสิงหาพาแม่เที่ยว ซึ่งช่วยสร้างบรรยากาศความคึกคักให้การท่องเที่ยวในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี

ธรรมะกับธรรมชาติ


   บางครั้ง ต้นผลไม้ อย่างต้นมะม่วงเป็นดอกออกมาแล้ว บางทีถูกลมพัด มันก็หล่นลง แต่ยังเป็นดอกอย่างนั้นก็มี บางช่อเป็นลูกเล็กๆลมก็มาพัดไป หล่นทิ้งไปก็มี บางช่อยังไม่ได้เป็นลูก เป็นดอกเท่านั้น ก็หักไปก็มี
คนเราก็เหมือนกัน บางคนตายตั้งแต่อยู่ในท้องบางคนคลอดจากท้องอยู่ได้สองวัน ตายไปก็มี หรืออายุเพียงเดือนสองเดือน สามเดือน ยังไม่ทันโต ตายไปก็มีบางคนพอเป็นหนุ่มเป็นสาวตายไปก็มี บางคนก็แก่เฒ่าแล้ว จึงตายก็มี

เมื่อนึกถึงคนแล้ว ก็นึกถึงผลไม้ ก็เห็นความไม่แน่นอน แม้นักบวชเราก็เหมือนกัน บางทียังไม่ทันได้บวชเลย ยังเป็นเพียงผ้าขาวอยู่ ก็พาผ้าขาววิ่งหนีไปก็มีบางคนโกนผมเท่านั้น ยังไม่ได้บวชขาวด้วยซ้ำ ก็หนีไปก่อนแล้วก็มี บางคนก็อยู่ได้สามสี่เดือนก็หนีไป บางคนอยู่ถึงบวชเป็นเณรเป็นพระ ได้พรรษาสองพรรษาก็สึกไปก็มี หรือสี่ห้าพรรษาแล้วก็สึกไปก็มี เหมือนกับผลไม้เอาแน่นอนไม่ได้ ดอกไม้ผลไม้ถูกลมพัดตกลงไปเลยไม่ได้สุก จิตใจคนเราก็เหมือนกัน พอถูกอารมณ์มาพัดไป ดึงไป ก็ตกไปเหมือนกับผลไม้

พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงเห็นเหมือนกัน เห็นสภาพธรรมชาติของผลไม้ ใบไม้ แล้วก็นึกถึงสภาวะของพระเณรซึ่งเป็นบริษัท บริวารของท่านก็เหมือนกัน มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น ย่อมจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ฉะนั้นผู้ปฏิบัติถ้ามีปัญญา พิจารณาดูอยู่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีครูอาจารย์แนะนำพร่ำสอนมากมาย

พระพุทธเจ้าของเรา ที่จะทรงผนวชในพระชาติที่เป็นพระชนกกุมารนั้น ท่านก็ไม่ได้ศึกษาอะไรมากมายท่านไปทรงเห็นต้นมะม่วงในสวนอุทยานเท่านั้น คือวันหนึ่ง พระชนกกุมารได้เสด็จไปชมสวนอุทยานกับ พวกอำมาตย์ทั้งหลาย ได้ทรงเห็นต้นมะม่วงต้นหนึ่ง กำลังออกผลงามๆมากมาย ก็ตั้งพระทัยไว้ว่า ตอนกลับจะแวะเสวยมะม่วงนั้น

แต่เมื่อพระชนกกุมารเสด็จผ่านไปแล้ว พวกอำมาตย์ก็พากันเก็บผลมะม่วงตามใจชอบ ฟาดด้วยกระบองบ้าง แส้บ้าง เพื่อให้กิ่งหัก ใบขาด จะได้เก็บผลมะม่วงมากิน

การเข้าสู่หลักธรรม (หลวงพ่อชา สุภทฺโท )


การฟังธรรมนั้นก็เพื่อความเข้าใจในธรรมะ แล้วก็จะต้องนำไปปฏิบัติให้ไปถึงในสิ่งที่เรามีความมุ่งหมาย อย่าเข้าใจว่าพอฟังธรรมแล้วก็จะดีเลยทีเดียว ในการฟังธรรมนั้น พื้นฐานเป็นสิ่งที่สำคัญมาก คือจะต้องประกอบไปด้วยสถานที่ ประกอบไปด้วยเวลา ประกอบไปด้วยบุคคล และประกอบไปด้วยธรรมะ

อย่างสถานที่ในวัดของเรานี้มันเป็นป่า มันมีความสงบ เมื่อพูดอะไรออกไป ก็ไม่มีอะไรเข้ามาแทรก มันเป็นสถานที่อันสมควร ส่วนสถานที่อันไม่สมควร เช่น คนร้องเพลงก็ร้องเพลงไป คนเล่นก็เล่นไป มันก็วุ่นวาย จะเอาพระไปพูดตรงนั้นก็ไม่สมควร หลวงพ่อเคยไปงานมงคลแต่ไม่ใช่งานมงคลหรอก เป็นงานอมงคลเสียมากกว่า พอจะให้รับศีลให้ฟังเทศน์ เขาก็ไม่สนใจในศีลในเทศน์ คนเล่นก็เล่น คนกินเหล้าก็กินสารพัดอย่าง มานิมนต์พระไปเทศน์ตรงนั้นก็เรียกว่า สถานที่ไม่สมควร บุคคลนั้นก็ไม่สมควร ไม่ควรจะวางธรรมเทศนาในที่ตรงนั้น

ในการฟังธรรมนั้นให้เราเป็นผู้ฟัง เพราะอะไร? เพราะเรายังไม่รู้ชัด ก็ต้องเป็นผู้ฟัง ฟังไปเถอะ ฟังแล้วก็เอาไปพิจารณา อย่าเพิ่งเข้าใจว่ามันถูกแน่นอน และอย่าเพิ่งเข้าใจว่ามันผิด ให้ฟังแล้วเอาไปกลั่นไปกรองเสียก่อน คือ เอาไปภาวนา เอาไปพิจารณา เราเรียกว่าภาวนาในภาษาธรรมะ ภาษาโลกก็เรียกว่า พิจารณา เมื่อมาเข้าถึงธรรมะ ท่านก็เรียกว่าภาวนา ภาวนาหมายถึง ทำให้มันถูกขึ้น ทำให้มันดีขึ้น ทีนี้เมื่อเราจะฟังธรรมเทศนานั้น ก็เหมือนประหนึ่งว่าจะย้อมผ้า โดยปกติเราก็ต้องเอาผ้าไปฟอก ไปซักให้มันสะอาด แล้วจึงเอามาย้อมด้วยสีที่เราชอบ ไม่ใช่เราไปเห็นสีมันสวยเราชอบ ก็จะเอามาย้อมผ้าของเราให้มันสวย แต่ผ้าที่จะย้อมไม่ได้ฟอกได้ซัก เราก็เอามาย้อมเลย อย่างนั้นมันก็ไม่สวย เพราะผ้ามันไม่ดี มันไม่สะอาดการที่เราจะเข้าสู่หลักธรรมก็ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องทำใจให้สะอาดเป็นพื้นฐาน อย่างเช่นที่หลวงพ่อให้ถึงพระรัตนตรัยเสียก่อน แล้วก็มาสมาทานศีล แล้วจึงมาฟังธรรมอย่างนี้

วิธีภาวนาให้เห็นว่ากายกับใจไม่ใช่เรา

ธรรมะจากพระผู้รู้ - ฉบับที่ ๘๗  
โดย หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช


ถาม - ภาวนาอย่างไรจึงจะเห็นว่ากายไม่ใช่เราได้คะ

เรามาหัดภาวนา มาดูของจริงนะ ดูลงในกาย ดูลงในใจ
กายกับใจเป็นสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นตัวเรามากที่สุด
เรารักที่สุดคือกายกับใจนี้ มาภาวนาก็มาดูลงที่กายที่ใจ แล้วจะเห็นเลย
ทุกอย่างที่ปรากฏขึ้นที่กายที่ใจนี่เป็นของชั่วคราวทั้งหมดเลย
อย่างร่างกายมันไม่แข็งแรงตลอดเวลา เดี๋ยวมันก็เจ็บป่วย
เจ็บป่วยนี่มันมีอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เราไม่รู้สึก
อย่างเรานั่งนานๆ มันก็เมื่อยนะ มันก็ป่วยเหมือนกัน
มันก็เจ็บมันก็ป่วย มันทรมาน นั่งมากๆ ก็ทุกข์ ยืนมากๆ ก็ทุกข์
เดินมากก็ทุกข์ นอนมากๆ ก็ทุกข์ นอนมากก็ทุกข์นะ
หลวงพ่อเคยเห็นคนเป็นอัมพาต นอนแล้วกระดิกตัวไม่ได้
อู๊ย ทุกข์มากเลย เป็นแผลกดทับไปเลย บางทีติดเชื้อตายไปง่ายๆ เลย
ฉะนั้นจริงๆ แล้วร่างกายเนี่ย ความจริงของเขาก็คือ
เขามีแต่ความทุกข์บีบคั้นตลอดเวลา
ร่างกายนี้นะ คล้ายๆ กับคนวิ่งหนีหมาล่าเนื้อนะ
ความทุกข์เหมือนหมาล่าเนื้อ วิ่งไล่กัดตลอดเวลาเลย
ตอนมีเรี่ยวมีแรงเราก็วิ่งหนีห่างออกได้นะ ก็รู้สึกค่อยยังชั่วหน่อย
แป๊ปเดียวมันตามมาอีกละ
เพราะฉะนั้น ความทุกข์มันตามบดขยี้ร่างกายนี้อยู่ตลอดเวลา
ถ้าเราภาวนาไปเกิดความรู้สึกอยู่ที่กาย เราก็จะเห็นความจริงเลย
ร่างกายนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ นั่งอยู่ก็ทุกข์ เดินก็ทุกข์ นอนก็ทุกข์
จะทำอะไรอะไรก็ทุกข์ไปหมดเลย หายใจออกหายใจเข้าก็ทุกข์
ใครว่าไม่ทุกข์นะ หายใจเข้าไปเรื่อยๆ ทุกข์เองล่ะ
หายใจออกไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ทุกข์เองล่ะ
ที่มันไม่ทุกข์เพราะมีการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนอิริยาบถไป
เช่นนั่งนานๆ แล้วเมื่อยก็ขยับตัว ก็เปลี่ยนอิริยาบถก็บดบังความทุกข์ชั่วครั้งชั่วคราว
หายใจออกแล้วเปลี่ยนไปมาหายใจเข้า มันก็ปิดบังไม่ให้เราเห็นความทุกข์
ความจริงแล้วมันทุกข์อยู่ตลอดเวลาเลย
ถ้าเราหัดภาวนานะ ตามรู้อยู่ที่กายมากเข้าๆ
ถึงจุดหนึ่งมันจะเห็นเลย ร่างกายมันทุกข์ล้วนๆ น่าเบื่อนะ
จะทิ้งมันก็ไม่ได้นะ จะไปไหนก็ต้องพามันไปด้วย หนีมันไม่ได้
คล้ายๆ เรานอนกอดความทุกข์อยู่ตลอดเวลา นอนกอดภาระอยู่ตลอดเวลา
พอใจมันเห็นความจริงตรงนี้ มันจะค่อยๆ คลายความรักในกายลง
มันจะเริ่มเห็นแล้วว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่ตัวเราที่แท้จริงหรอก
เป็นแค่วัตถุ เป็นก้อนธาตุ มีธาตุไหลเข้า มีธาตุไหลออกอยู่ตลอดเวลา
เช่น หายใจเข้าแล้วก็หายใจออก หายใจออกแล้วก็หายใจเข้า
กินอาหารแล้วก็ขับถ่ายอะไรงี้
เป็นแค่ก้อนธาตุแล้วก็หมุนไปเรื่อยๆ แล้วก็ความทุกข์ก็ตามบีบคั้นไปเรื่อยๆ
เนี่ยพอใจมันเห็นความจริงในกายมากเข้าๆ นะ ความรักในกายก็ลดลง
เบื้องต้นก็เห็นก่อน ร่างกายไม่ใช่เรา
ภาวนาไม่นานหรอกก็จะเห็นว่าร่างกายไม่ใช่เรา

วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

พระพุทธโสธร


มีเรื่องราวที่เล่าขานกันมานานแล้วในครั้งโบราณว่าในกาลครั้งนั้นยุคสมัยกรุงศรีอยุธยา ตอนปลาย มีพระพุทธรูปลอยน้ำมา3องค์ที่แม่น้ำบางปะกง พอมาถึงบริเวณสถานที่ แห่งหนึ่ง ซึ่งเรียกชื่อว่าอะไรก็ไม่ประจักษ์ ก็มีชาวบ้านเห็นพระพุทธรูปลอยน้ำมาทั้ง 3 องค์เกิดเอะอะโวยวายขึ้นให้ช่วยกันอัญเชิญขึ้นมาบนฝั่ง  ด้วยการเอาเรือออกไป อัญเชิญ ด้วยการช่วยกันยกขึ้นเรือแต่ก็ไม่สำเร็จเพราะยกเอาขึ้นมาไม่ไหว จึงเปลี่ยนวิธีการเป็นเอาเชือกเส้นใหญ่ไปคล้ององค์พระทั้ง3องค์อย่างแน่นหนา แล้วให้ชาว บ้านที่มีอยู่ชักลากดึงจะเอาขึ้นมาบนฝั่งน้ำ ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จเพราะแรงชาวบ้านที่มีอยู่เป็นจำนวนมากมายนั้น
ไม่อาจจะฉุดดึงรั้งเอาองค์พระทั้ง3องค์ที่ลอยปริ่มๆน้ำอยู่ขึ้นมาได้ไม่สำเร็จ เพราะเชือกขาด รั้งเอาไว้ไม่อยู่ ประกอบกับ กระแสน้ำเกิดปาฏิหาริย์ปั่นป่วนขึ้นมาเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ทำให้พระพุทธรูปทั้ง3องค์จมหายลับสายตาไปท่ามกลาง ความเสียดายของผู้คนที่มีอยู่ ซึ่งเห็นเหตุการณ์อย่างชัดเจน พากันยกมือไหว้ท่วมศีรษะ บางคนก็พูดว่าไม่มีบุญเพียงพอที่จะ อัญเชิญพระพุทธรูปทั้ง3องค์ขึ้นมาได้

ผู้คนในสมัยนั้นโจษขานกันไปต่างๆนานาพากันคิดว่าอย่างนั้นคิดว่าอย่างนี้ไปจนบางทีก็เลยเถิดไปไหนต่อไหน บ้างก็ว่า เทวดาฟ้าดินไม่โปรด หลวงพ่อก็ไม่ยอมมาประดิษฐานอยู่บนฝั่งน้ำ หากอัญเชิญขึ้นมาได้แล้ว ก็จะอัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดทันที เรื่องราวการโจษขานกันไปมากมายนี้เลยทำให้ชาวบ้านพากันเรียกสถานที่ ที่พระพุทธรูปทั้ง3 องค์ มาสำแดงปาฏิหาริย์ ลอยวนเวียนไปมาว่า “สามพระทวน”เรียกกันเรื่อยไปนานเข้าก็เพี้ยนกลายเป็น “สัมปทวน” กันไปในที่สุด