วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ประวัติหลวงพ่อโฉม และการส้างวัตถุมงคล ของวัดตำหนัก


 ปทุมธานี หรือเมืองสามโคก ในอดีตเป็นอีกจังหวัดหนึ่งซึ่งมีประวัติศาสตร์และมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค้า ควบคู่กับกรุงศรีอยุธยา โดยเมืองสามโคกมีสถานะเป็นเมืองตรี ครั้นต่อมาในสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเสิศหล้านภาลัย ทรงพระราชทานนามเมืองสามโคกใหม่ว่าปทุมธานี คือเมืองแห่งดอกบัว ซึ่งจังหวัดปทุมนั้นมี ชาวมอญที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารแห่งองค์พระพุทธเจ้าหลวงเมื่อครั้งในอดีต ดังนั้น ศิลปะหลายแขนงยังมีการสืบทอดจนถึงปัจจุบัน และอีกแขนงที่กล่าวถึงนั้นก็คือสายวิชาพระเวชวิทยาคม การลงอักขระ ปลุกเสกเครื่องรางของขลัง ซึ่งยังมีการสืบทอดพระเวทย์สายรามัญ จนถึงปัจจุบันจากรุ่นสู่รุ่นมิได้น้อยไปกว่าที่อื่นเลย ดังเช่น พระคณาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษหลาบรูป อาทิ เจ้าคุณรามัญมุณี วัดบางหลวง หลวงพ่อช้างวัดเขียนเขต หลวงพ่อญัติ วัดสายไหม หลวงปู่ด๊วด วัดคลองสี่ หลวงพ่อเทียนวัดโบสถ์ และอีกมากมายหลายท่าน

หลวงพ่อจ่าง เกศโร วัดไผ่ล้อม อำเภอสามโคก ท่านเป็นเกจิคณาจารย์ยุคเก่า ผู้เรืองเวทย์วิทยาคมอย่างมากในสมัยนั้น ท่านมีความเชี่ยวชาญ ในเรื่องกรรมฐานและลงอักขระบนตะกรุด ที่มีอานุภาพทางคงกระพันชาตรี ยิ่งนักเลงในย่านนั้นนิยมเคียนตะกรุดของหลวงปุ่จ่างทั้งหมด ซึ่งในปัจจุบันผู้สืบสานพุทธานุคมสายหลวงปุ่จ่าง วัดไผ่ล้อม ที่ยังเหลืออยู่ในปัจจุบัน ก็คือ หลวงพ่อโฉม เตชวโร แห่ง วัดตำหนัก นั้นเอง

หลวงพ่อโฉม เตชวโร หรือ พระครูปทุมอรรถสุนทร ท่านมีนามเดิม ว่า นายบุญถม นามสกุล ภู่ห้อย เกิดวัดเสาร์ เดือน ๓ ปีกุล ปีพศ.๒๔๖๖ เป็นบุตรคนโตในบรรดาพี่น้อง ๓ คนของคุณพ่อฉิน(หลวงพ่อฉิน) คุณแม่แจ๋ว ภู่ห้อย จบการศึกษาระดับ ป๔ จากโรงเรียนสามมัคคิยาราม จากนั้นเมื่ออายุได้ ๒๐ ปี ท่ายได้สมัคร เป็นทหารรับใช้ชาติ อยู่ ๒ ปี จากนั้น อายุ ๒๒ จึงได้อุปสมบท ณ.วัดป่างิ้ว โดยมีพระครูถาวรกิจโกศล(ฟ้อน โชติปาโล)เป็นพระอุปฌาย์ จากนั้น เพียง๑ พรรษา ท่านก็ลาสิกขาบท ออกมาช่วยโยมพ่อ โยมแม่ทำนาเลี้ยงน้องในฐานะพี่ชายคนโต และท่านได้สมรสและมีบุตรธิดา ทำอาชีพสุจริต

ยามว่างท่านมักจะไปขอเรียนวิชากับหลวงพ่อฉิน(บิดาของท่าน เสมอ) และมักไปต่อวิชากับหลวงพ่อหอม วับางเตยกลาง สองศิษย์เอก แห่งหลวงพ่อจ่างวัดไผ่ล้อม อยู่เป็นประจำจน ชำนาญ และหลวงพ่อท่านได้นำวิชาที่ร่ำเรียนมาสงเคราะห์ชาวบ้านในละแวกนั้นตั้งแต่ยังเป็นฆารวาส จนกระทั่งเมื่อครั้งที่ท่านอายุ ๔๐ ปี ท่านเกิดเจ็บหนักจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ท่านจึงอธิฐานว่า หากท่านรอดไปได้ ท่านจะใช้ชีวิตที่เหลือ ขอถวายพระศาสนา เมื่อท่านหายป่วย จึงได้อุปสมบทอีกครั้งที่วัดดอกไม้ โดยมี พระครูธีรานุวัตร(หลวงพ่อหอม) วัดบางเตยกลาง เป็นพระอุปฌาย์ เมื่ออุปสมบท แล้วท่านก็ยังไปศึกษาเพิ่มเติมในบางวิชาและฝึกกรรมฐานขั้นสูง  จากทั้ง หลวงพ่อฉิน และ หลวงพ่อจ่าง วัดไผ่ล้อม จวบจนท่านได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดตำหนัก ซึ่งสรรพวิชา อาคมที่ท่านร่ำเรียนมาท่านสามารถทำได้ขลัง และไม่เป็นรองใครโดยเฉพาะตะกรุดตำราหลวงปู่จ่าง วัดไผ่ล้อม ที่ท่านได้รับถ่ายทอดมา โดยอาศัยการลงตัว นะ  เพียงตัวเดียวเท่านั้น และหลวงพ่อโฉม ท่านได้ลงตะกรุด แบบนี้แล้วแจกให้ลูกศิษย์ ไว้ใช้จนเป็นที่ประจักษ์ ด้านแคล้วคลาด คงกระพันในพื้นที่แถบสามโคก

 หลวงพ่อโฉมท่านได้เมตตาอธิบายว่า “นะ” ของท่านว่า ตัว นะ นี้เป็นต้นแบบเป็นประธานแห่งมนต์ทั้งหมด มนต์สำคัญๆก็ต้องขึ้นต้นด้วยน่ะทั้งนั้น เวลาพระเจริญพุทธมนต์ท่านต้องตั่งนะ ก่อนคือนะโมทุกครั้งและที่สำคัญไม่ว่าจะเป็น นะใดๆทั้ง๑๐๘ นะที่ท่านได้ศึกษามาก็ล้วนปลุกเสกด้วยคาถาแม่บทซึ่งกล่าวถึงตัว นะไว้หมดสิ้นคือ นะรานะระหิตังเทวัง นะระเทเวหิปูชิตัง นะรานังภามะยังเภหิ นะมามิสุคะตังชินัง เมื่อเรานำตัวนะตัวแม่ของ นะ มาเป็นต้นเป็นประธานแล้ว อาราธนา นะตัวลูกทั้ง ๑๐๘ ประการ ดีกว่าใช้ นะเฉพาะ ซึ่งจะมีฤทธิ์ เพียงด้านเดียวไปครอบคลุมในทุกๆด้าน เมื่อนำ นะ มาลงในโลหะม้วนเป็นตะกรุดแล้วตะกรุดนั้น ก็จะมีพุทธคุณมากมายดุจฝอยท้วมหลังช้างเรียก ว่า ๑๐๘ นะ ทั้งเมตา มหาเสนห์ มหานิยม แคล้วคลาด คงกะพัน กันอาวุธ ในเรื่องการปลุกเสก หลวงพ่อโฉม ได้เมตาเปิดเผยว่าอักขระเลขยันต์นั้นจะมากน้อยไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่จิตผู้เสกจิตดีปกติแจ่มใส สุขภาพดี เป็นสมาธิ แน่แน่ว เรื่องเวลานั้นไม่สำคัญสัก ๑๐ ถึง ๒๐ นาที ก็ใช้ได้ แต่ถ้าจิตไม่ดี ไม่มีสมาธิ นั่งเสกกันทั้งวันก็ไม่เกิดประโยชน์ และอีกอย่างคือ ปฏิภาคนิมิต คือนิมิตที่เราขึ้นตามจิตแห่งตน ลงอักขระเลขยันต์เยอะแยะมากมาย แต่นิมิตปฏิภาคไม่เกิดก็เท่านั้น สู้ลงนะตัวเดียว ปฏิภาคนิมิตเกิดเห็น นะ นั้นชัดเจน ปรากฎ ขึ้นไม่ได้เป็นว่า มันอยู่ที่จิต สมาธิเป็นสำคัญ

ส่วนเรื่องการทำเครื่องรางของขลัง ของหลวงพ่อโฉม โดยเฉพาะตะกรุด หลวงพ่อท่านนิยมแบบโบราณคือเขียนทีละแผ่นเรียกสูตรกันทีละตัวซึ่งท่านจะให้ความสำคัญมากมีลูกศิษย์แนะนำให้ท่านใช้วิธีการปั๊มตะกรุดแต่ ท่านบอกปฎิเสธไม่เอาเป็นอันขาดท่านว่า มันไม่ได้เรียกได้เสมอไป  ทำหลอกเขา ข้าไม่เอา ถึงแม้ว่าปัจจุบัน หลวงพ่อท่าน ชราภาพมากแล้วก็ตามแต่ตะกรุดของท่านยังใช้การจาร ยันต์ด้วยมือ ถึงท่าน มิได้จารด้วยตัวท่านเอง ทั้งหมด ทุกดอก แต่ท่านมอบหมายให้ลูกศิษย์ที่ท่านครอบครูแล้ว เป็นคนช่วยจารแล้ว ท่านจะลง ครอบและเสกกำกับ ด้วยตัวท่านเองทุกครั้ง เพราะหลวงพ่อท่านบอกว่ายังไงก็ที่กว่าปั๊มเอา เพราะมันทำและจารด้วยใจ จึงไมน่าแปลกว่า ตะกรุดของท่านมีประสบการณ์กันมากมาย

ในด้านการพัฒนาวัดตำหนัก แต่เดิมแรกเมื่อหลวงพ่อท่านมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดตำหนักนั้นมีเพียงอุโบสถ และกุฏิ เพียงหนึ่งหลัง แต่ปัจจุบัน หลวงพ่อท่าน ได้สร้างและบูรณะ ถาวรวัตถุภายในวัดขึ้นมา เริ่มตั้งแต่หมู่กุฏิสงฆ์ หอสวดมนต์ หอระฆัง ศาลาการเปรียญ เมรุ เขื่อนหน้าวัด และพระอุโบสถ หลังใหม่ จนสร้างความแตกต่างจากคร้งอดีต โดยสิ้นเชิง

หลวงพ่อโฉมท่านเป็นพระที่สมถะเรียบง่ายไม่สะสมทรัพย์สินใดๆ ใครให้ท่านทำอะไร ถ้าไม่เหนือบากกว่าแรงท่านสงเคาระห์ให้หมด มีเมตาต่อสาธุชน ทุกคน เข้าพบง่าย เว้นแต่ช่วงเวลาที่ท่านจำวัดเท่านั้นแหละครับ อย่าได้รบกวนท่านเลยเพราะท่านชราภาพมากแล้ว หลวงพ่อท่านเป็นพระโบราณ ที่พูดจิงทำจริง  เวลาทำวัตถุมงคลต้องดูฤกษ์ มงคล ต้องทำพิธีกรรมตามแบบโบราณ ไม่สุกเอาเผากิน ดังนั้น วัตถุมงคลของหลวงพ่อ จึงออกมาไม่กี่รุ่น และบางอย่างก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการ

ซึ่งในพรรษานี้ มีการออก วัตถุมงคล ให้บูชา ๓ แบบ คือ พระพรหม หลังครุฑ รุ่นเจริญพร, เหรียญมงคลจักวาลไตรมาส ๒๕๕๔ และรูปเหมือนปั๊มรุ่นแรก ครับหากท่านผู้อ่านมีโอกาสก็อย่าลืมไปกราบหลวงพ่อโฉม วัดตำหนักน่ะครับ ท่านเป็นเพรชแท้ แห่งอำเภอสามโคก ซึ่งนับวันจะหาพระแบบท่านยากแล้วในปัจจุบัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น