วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

26 ปี 'อัสนี & วสันต์' (ยัง) บ้าหอบฟาง



ใน 26 ปีที่ผ่านมา คงมีคนอยู่น้อยมาก ที่รู้จัก อัสนี-วสันต์ แล้วร้องเพลงของเขาไม่ได้แม้ประโยคเดียว
คุณอาจจำเพลงของอัลบั้ม รุ้งกินน้ำ ไม่ได้ แต่ก็คงไม่ลืม ผักชีโรยหน้า อาจพร่าเลือนกับ จินตนาการ แต่ก็ยังแจ่มชัด ฟักทอง หรือร้างราไปกับ กระดี่ได้น้ำ แต่ไม่เคยจืดจางกับ บ้าหอบฟาง
ใช่แล้ว “บ้าหอบฟาง” ที่ผ่านไป 26 ปี และเดือนหน้านี้ มันจะถูก “รื้อ” ความหลังกันอีกครั้ง
แต่ก่อน “ป้อม และโต๊ะ” จะ “รื้อ” ความหลังของกองฟาง
เรามา “คุย” อัสนี และวสันต์ โชติกุล ในบ่ายอันร้อนรนวันหนึ่ง ของเดือนมิถุนายน...


  • ปกติคอนเสิร์ตใหญ่อัสนี-วสันต์ ตั๋วก็ขายเกลี้ยงตลอด แต่ครั้งนี้ “ปักป้าย” ว่า “26 ปี บ้าหอบฟาง” บรรยากาศของงานจะมีอะไรต่างไปไหม
อัสนี : ปกติเราก็จะเล่นคอนเสิร์ตหลังออกอัลบั้มมาตลอด แต่ครั้งนี้คงจะพิเศษกับ 26 ปี เราก็เอาเพลงมาดูกัน ดูสคริปต์ ทำกราฟฟิกให้เพลงมีขึ้นมีลงในคอนเสิร์ต และมีเพลงบางเพลงที่เคยมีการตัดเข้าตัดออกตามความเหมาะสม ก็อาจจะได้เล่นในครั้งนี้ ส่วนในแง่ของธุรกิจ ก็จะมีการบันทึกกันเป็น DVD คิดว่าคงสนุกทีเดียว

  • มีข่าวแพร่งพรายออกมาว่า คอนเสิร์ตนี้ โต๊ะ-วสันต์ จะถูกแกล้งให้โดดเดี่ยว
วสันต์ : ก็มีการคุยกันกับทีมงานครับว่า บางช่วงจะต้องไม่มีพี่ป้อมบ้าง หลังจากมีอยู่ข้างๆ ตลอดบนเวที (หัวเราะ) ผมจะต้องอยู่คนเดียวบ้าง และก็จะเล่นเพลงที่เราเตรียมกันไว้

  • ปี 1986 นอกจากมีอัลบั้ม"บ้าหอบฟาง" ปี เลดี้ กาก้าเกิด มี hand of god ของ มาราโดน่า ในบอลโลก และมีหนัง Stand By Me ทั้งสองคนจำอะไรเกี่ยวกับตัวเองในปีนั้นได้บ้าง
วสันต์ : ผมจำตัวเองกับเครื่องคอมพิวเตอร์ IBM นะ ไม่รู้เกี่ยวกันไหม แต่ปี 1986 ผมนึกถึงคอมพิวเตอร์
อัสนี : ช่วงนั้นผมจำได้ว่า มีไอเดียอยากจะลองเปลี่ยนแนวการฟังเพลงของคนฟัง คือ ตอนนั้นก็ได้ทำงานกับหลายคนในห้องอัดเสียง ก็อยากทำบ้าหอบฟาง อยากลองดูแนวใหม่ และจำได้ว่าพอบอกใครๆ คนรอบตัวก็ทำหน้างงว่า มันยังไงเหรอ ไอ้บ้าหอบฟางเนี่ย มันเข้าข่ายอะไร มันงงๆ มั้ย (โต๊ะนั่งขำ อยู่ข้างๆ) เพราะว่าแค่ชื่ออัลบั้ม ก็มีเพื่อนถามว่า ตั้งแก้เคล็ดอะไรไว้เปล่า

  • แล้วจริงๆ “บ้าหอบฟาง” มันลอยมาจากไหน...
อัสนี : มันมาจากผมไปอังกฤษ ทำอัลบั้ม “แดนศิวิไลซ์” ของ ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ ทีนี้ระหว่างบินกลับ ตอนอยู่บนเครื่องบิน คนอื่นๆ เขากลับกัน ผมก็นั่งฟังวอล์คแมน และก็เกิดไอเดียว่า มันยังไม่สุด มีอะไรค้างๆ ในหัว และคิดว่าน่าจะไปต่อได้อีกจากการทำงานตรงนั้น เลยมาเดินต่อด้วยการทำ “บ้าหอบฟาง”
แฟนพันธุ์แท้ อัสนี-วสันต์ เขาเคยวิจารณ์ว่า ถ้า “บ้าหอบฟาง” เป็นมาสเตอร์พีซ อัลบั้ม “รุ้งกินน้ำ” ก็คือการกลับมา “ท็อปฟอร์ม” แล้วในฐานะคนทำ มองอย่างไร
อัสนี : สองชุดนี้ห่างกันราวๆ 12 ปีถ้าจำไม่ผิด ตอนนั้นพอจะทำ “รุ้งกินน้ำ” ผมได้คุยกับคุณกฤษณ์ โชคทิพย์พัฒนา ว่าเราจะทำออกมาอย่างไร ซาวด์จะยังไงดี แล้วได้เห็นรุ้งกินน้ำที่ต่างจังหวัด มันสวยนะ มี 7 สีแต่ความหมายล่ะ จะสร้างยังไง อะไรควรมี ไม่ควรมี เป็นภาพที่ค่อยๆ ดึงออกมา มีการมองจากสภาพแวดล้อมตอนนั้นเยอะ เช่น รุ้งกินน้ำ ไม่ควรจะมีเพลงแบบเชียร์กีฬานะ ไม่มีเพลงแบบ “กรุงเทพมหานคร” เพราะมันไม่ไปทางนั้น ผมคิดว่ารุ้งกินน้ำ มันเป็นการคิดต่อไปจากบ้าหอบฟางส่วนหนึ่ง

  • แล้วคนทำชอบชุดไหนมากกว่ากัน ถ้าต้องเลือก 
วสันต์ : ผมอาจจะชอบแตกต่างไปนะ ผมชอบ“บ้าหอบฟาง” มากกว่า เพราะว่ามันเป็นอัลบั้มที่มีความคิดอิสระจากดนตรี มันปลอดโปร่ง คือจะรู้สึกอิสระมาก ไม่รู้จะเหมือนป้อมไหม
อัสนี : แน่นอนครับ ผมชอบ “บ้าหอบฟาง” เหตุผลเพราะผมได้ทำงานอย่างที่ตัวเองอยากจะทำอย่างสุดยอด ตอนนั้นผมเล่นดนตรี ทำงานกับคน เล่นเพลงไทย เพลงฝรั่ง พอมาถึงบ้าหอบฟาง มันคือ beat ของชีวิตที่เปลี่ยนชีวิตผมไปเลย เป็นบรรยากาศที่ดีมาก ต้องขอบคุณไนท์สปอตตอนนั้นด้วยที่ให้โอกาสผม แต่ไม่ได้หมายความว่า พอมาทำชุดต่อๆ มาจะไม่ชอบนะ เพียงแต่โจทย์การตลาดตอนทำชุดแรกไม่ได้มี เพลงทั้ง 9 เพลง มันมาจากสิ่งที่อยากจะทำจริงๆ ต้องบอกว่ามันเปลี่ยนชีวิตผมไปเลย

  • พวกคุณเคยให้สัมภาษณ์ “สีสัน” เมื่อเดือนมกราคม ปี 2541 ว่า อาจจะเว้นการแสดงคอนเสิร์ตใหญ่ไปเลย 5 ปี ทีนี้อะไรจะเป็นตัวบอกว่า เราต้องกลับมาแล้ว ในเมื่อไม่มีอัลบั้มใหม่
วสันต์ : ผมเคยคิดนะว่า เราอาจจะไม่อะไรมาก แต่พอเวลามันผ่านไปนาน เราจะรู้สึกนะ มันรู้สึกข้างในนิดหนึ่งว่า ถึงเวลาแล้ว ต้องเอาหน่อย เพราะมันเป็นชีวิตเรา พอห่างไปเราก็รู้สึก
อัสนี : ใช่ๆ มันเป็นความรู้สึกที่จะบอกกับเรา มันจะมีอยู่

  • เพราะ “อัสนี-วสันต์” ไม่เล่นตามร้านอาหาร ผับบาร์ เหมือนคนอื่น อันนี้เป็นการเซฟ แล้วไประเบิดคอนเสิร์ตใหญ่ทีเดียวเลยไหม
อัสนี : ไม่ใช่อย่างนั้น เราเคยเล่นนะ เล่นตอนชุด“ผักชีโรยหน้า” แล้วเราพบว่า พอเล่นแบบนั้น มันมีความไม่พร้อมของระบบเสียง ของตัวงาน แต่เราก็เข้าใจ ทีนี้เราก็รู้สึกว่า เราอยากเล่นแบบเต็มๆ มากกว่า มีการเตรียมตัวเป็นเรื่องเป็นราว เลยไม่ค่อยชอบเล่นตามร้านอาหาร
วสันต์ : ผมขอเสริมนะครับว่า เรื่องความรู้สึกกับคอนเสิร์ตนั้น ตอนเราหยุดยาวไป 5 ปี ก็คิดว่าจะหยุดยาวไปกว่านั้นอีก แต่แล้ว มันก็มีอะไรมาบอกเราว่า มันต้องกลับมาแล้ว มันต้องทำ เพราะมันคือสิ่งที่อยู่กับชีวิตของเรา
อัสนี : จริงๆ การเล่นดนตรี คือ ชีวิตของพวกเราอยู่แล้ว แต่การแสดงคอนเสิร์ต เราอยากมีความพร้อม เคยเจอความไม่พร้อมก็ไม่สนุกกับมัน แล้วต้องบอกว่า การทำแต่ละครั้งนี่ ค่าใช้จ่ายมันสูงนะ แต่เราโชคดีที่มีสปอนเซอร์เข้าใจการทำงานตรงนี้

  • คุณอัสนี เคยบอกว่า คาราบาว มีแฟนเพลงหลายวัย เปรียบเหมือน The Rolling Stones ถ้าอย่างนั้น “อัสนี-วสันต์” เป็นอะไร ใช่ Simon and Garfunkel ?
(หัวเราะพร้อมกัน) แล้วอัสนีพูดว่า เราพูดว่าเราเป็นอะไรไม่ได้หรอก เราต้องให้คนฟังเพลงพูด

  • ตอนนี้แผ่นเสียง “บ้าหอบฟาง” ราคา 6,500 บาท ขณะที่ “เมด อิน ไทยแลนด์” ราคา 10,000 บาท 
อัสนี : อันนี้ไม่ได้นะ บ้าหอบฟาง ต้องขาย 20,000 สิ น้อยหน้าคาราบาวได้ไง (หัวเราะ)
วสันต์ : เป็นไปได้ยังไง งานของเรา มีแนวตลาดมากกว่าเขานะ
อัสนี : ผมว่า เราต้องไปปั่นราคากันใหม่นะ  แต่ไม่แปลกที่คาราบาวเขาจะมีราคาดี แอ๊ด คาราบาว เขาเก่งมากนะ เป็นคนเฉียบคมมาก ผมยอมรับเลย เขาแต่งเพลงเก่งมาก ทุกคำไม่มีซ้ำคำของเขานี่เพียวๆ เลย

  • หลายปีมานี้ อัสนี-วสันต์เดินทางไปเล่นคอนเสิร์ตที่ต่างประเทศ สคริปต์เวลาเล่นในบ้านเรากับต่างประเทศ ต่างกันไหม
อัสนี : ไม่เลยครับ เหมือนกันเลย แล้วเราโชคดี เพราะพวกเขาสื่อสารกันได้หมด ร้องได้ทุกเพลงเลย โอเค อาจจะมีเพลงขึ้นเพลงลง มีเดินเพลงแบบนั้นแบบนี้ แต่ถ้าถามมุมนี้ เหมือนกันเลย ไม่ต่างกัน
วสันต์ : ผมว่าบางทีเล่นที่ต่างประเทศสนุกกว่าด้วยนะ คือ พวกเขาแสดงออกเต็มที่กว่า อาจจะนานๆ เจอกันที ก็ได้มั้ง แล้วคนไทย 5,000-6,000 คน มาดูกันที่เวมบลีย์ อารีน่า(ประเทศอังกฤษ)นี่ ผมว่าก็เยอะแล้วนะ

  • เห็นบอกว่า เวลาออกอัลบั้มอาจจะกดดันว่าคนชอบไหม แล้วเล่นคอนเสิร์ตใหญ่มีเรื่องกดดันมั้ย
อัสนี : ไม่มี เพราะถ้าคนฟังร้องเพลงเราได้ เราแฮปปี้แล้ว คือ ถ้าคนฟังเพลงร้องได้หลายๆ เพลง คอนเสิร์ตมันจะสนุกแล้ว คอนเสิร์ตเราจะไม่เกินสองชั่วโมง ซึ่งผมว่ามันกำลังดีนะ ความรู้สึกแบบสองชั่วโมงมันลงตัว เราเคยลองนะ เล่นสามชั่วโมง และรู้สึกว่า เอ๊ะ...มันไม่ใช่นะ

  • ออกจาก “แกรมมี่” แล้ว งานชุดใหม่ก็ยังไม่มี ทั้งสองหายไปทำอะไร
อัสนี : ไปอยู่ที่ “เลย” ไปเที่ยวเชียงคาน ไปภูเรือ ไปเยี่ยมผู้คน มีทะเลบ้าง
วสันต์ : ผมก็แปลกๆ นะ อยู่ที่ “เลย” ก็คิดถึงกรุงเทพ พอมาอยู่กรุงเทพ ก็คิดถึงที่ “เลย” ไม่รู้จะเอายังไง แต่ไม่เบื่อกรุงเทพฯ นะ ก็เที่ยวได้หมด สบายๆ ไปห้าง ไปนั่น ไปนี่

  • ยังแอบไปดูหนังรอบ 21.00 น.เพราะหนีคน เหมือนสมัยก่อนมั้ย
(หัวเราะกันครืน - อัสนี) ใช่ๆ ยังไป 3 ทุ่มอยู่ คนน้อยดี แต่เราสบายๆ นะ บางทีไปดูหนังก็มีคนทักทาย มีความสุขกันดี แต่ดีนะ ผมว่ามีคนมาชอบเรา ดีกว่ามีคนไม่ชอบ จริงมั้ยโต๊ะ (พี่โต๊ะแซวว่า ไม่ต้องห่วงไม่ถึงกับวิ่งหลบผู้คน)

  • ธุรกิจดนตรีทุกวันนี้ คุณมองว่าเป็นยังไง
อัสนี : อย่างที่ทราบครับว่า ตอนนี้มันก็มีการดาวน์โหลดกันได้ และธุรกิจเพลง มันก็ต้องคิดแบบหนึ่ง ตอนนี้ใครทำได้...ทำ ใครขายได้ก็ต้องรีบทำก่อน เพราะระบบมันไม่ได้เอื้อให้คนจะต้องมาทำแต่เพลงแบบที่ตัวเองอยากเป็น 100 เปอร์เซ็นต์ ตรงนี้ ผมว่าฝรั่งก็เป็นนะ แต่สเกลเขาใหญ่กว่าเรา พอสเกลใหญ่กว่า เขามีโอกาสที่จะทำอะไรได้มากกว่า
สิ่งที่น่าอิจฉา คือ มาตรฐานเขาดีแล้ว เขาจึงสามารถไปทดลองไอเดียอะไรได้มากกว่าเรา นี่คือเรื่องที่ดีมากๆ เพราะเขาสามารถจะทดลองมาแข่งกัน แต่ของเรา บางทีถ้ามันทำอย่างนั้น มันอาจจะกลายเป็นแพ้ ขาดทุน ต้องหาทางเยียวยากันไป ผมเคยทำค่ายเพลงอยู่ค่ายหนึ่ง ก็ได้พบว่าแม้เราจะหาความต่าง หาวิธีการอะไรได้ แต่ในที่สุดมันต้องมีเพลงขาย มันจะมาย้อนศรอะไรแบบฝรั่งไม่ได้ มันก็เป็นเงื่อนไขที่กดดันอย่างหนึ่ง แต่เราเข้าใจนะ

  • ถ้าลงลึกในแง่ครีเอทีฟ ฝรั่งกับเรามีแง่มุมอะไรที่ต่างกัน 
อัสนี : เขามี marketing mind มาก คุณดูสิ เพลงแบบ ไมเคิล แจ๊คสัน, อีริค แคลปตัน หรือ พอล แม็คคาร์ทนีย์ เพลงของเขาไม่เหมือนกัน ไม่ใกล้กัน แต่ขายได้หมดเลย แล้วดีด้วย ขณะที่เพลงไทย ตลาดจะต้องไปด้วยกัน ไปใกล้ๆ กัน อยู่ด้วยกัน ขณะที่ฝรั่ง เขามีเพลงตลาดแน่นอน แต่เพลงเขาไม่เหมือนกันเลย ขายได้ด้วย อันนี้สุดยอดมาก และดูสิ เขาอยู่นานมาก

  • Sound ที่เปลี่ยนไปของการทำเพลง มี Digital เข้ามา แล้ว Analog หายไป ยังมีอาการโหยหา sound แบบเก่าๆ มั้ย
อัสนี : โหยหามั้ยเหรอ (ทวนคำถาม) ก็มีนะ คือในช่วง 8-10 ปีที่ผ่านมา sound ของการทำเพลงมันเปลี่ยนไปมาก ก็ดีของมันแบบหนึ่ง ระบบอะไรมันก็เคลียร์ แต่ผมก็ยังชอบแบบสมัยก่อน เคยมีเด็กมาถามว่า digital กับ analog เสียงมันต่างกันยังไง ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงดี (หัวเราะ) แต่เราอยู่กับมันมา เรารู้สึกได้ถึงรายละเอียด สมัยก่อนเวลามันสะท้อน เสียงมันสะท้อนจริงๆ (ทำท่ามือกางออกกว้างๆ) แต่ยุคนี้บางที มันกลายเป็นเสียงกังวาน คือมันแค่กังวาน แค่นี้ บางทีเรารู้สึกว่ามันไม่จริง แต่มันไม่ได้ผิดนะ มันสะท้อนตามยุคสมัย
วสันต์ : คือรุ่นใหม่นี่ เขาแค่ฟังเอาจากลำโพงมือถือ เขาพอใจแล้ว (ยิ้ม)

  • เกือบ 30 ปีมาแล้ว คนก็ยังร้องเพลงรักอัสนี-วสันต์ ยังตามดูคอนเสิร์ตอยู่ มันสะท้อนอะไร ?
อัสนี : มันเป็นไปได้ว่า คนไทยชอบเพลงรัก ถ้ามันจะเศร้ามันต้องมีความอบอุ่นอยู่ในนั้น มีบรรยากาศที่อบอุ่น ไม่รันทด และมันอาจมีเรื่องของ melody เรื่องของ rhythm คือมีบรรยากาศของความรักที่ดีอยู่ในเพลง
วสันต์ : เพลงรักของผม มันจะเป็นเพลงแบบกลางๆ ไม่ได้อะไรไปมากๆ ทางหนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่า คนรุ่นนี้เขาจะฟังหรือเปล่า แต่เพลงรักของผมจะสบายๆ หน่อย

  • แล้วสภาพสังคมไทยตอนนี้ เราควรจะมีความรักแบบ “วัวลืมตัว” ! หรือ “รักเธอเสมอ” ... ถ้าวันข้างหน้าไม่อยาก “หัวใจสะออน”
อัสนี : นี่อะไรเนี่ย คำถามนี้ต้องคิดนะ (พี่โต๊ะแซวว่า ตอบยากนะ ต้องค่อยๆ คิดก่อนตอบ) สังคมตอนนี้ เป็นความรักแบบตรงไปตรงมา ผมว่าสังคมไทยต้องแบบ “หัวใจสะออน” ต้องมีโวยวายนิดหน่อย ยอมๆ ยอมเขาคำถามนี้ (หัวเราะ)

  • วันนี้แฟนเพลงของ อัสนี-วสันต์ มีลูกกันหมดแล้ว และลูกๆ กำลังเห่อ“พ่อมด” (harry potter) กับ “แวมไพร์” (twilight) ถ้าต้องเลือก ทั้งสองจะเป็นอะไร
วสันต์ : ผมขอเลือกก่อน ผมจะเป็นแวมไพร์ เหตุผลคือ ผมว่ามันดีกว่าพ่อมดนะ พ่อมดมันดูเจ้าเล่ห์ (หัวเราะ)
อัสนี : งั้น ผมเป็นพ่อมดแล้วกัลล์ มันเป็นอะไรที่ไม่ดีใช่ไหม พ่อมดเนี่ย

  • เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศยูโร 2012 อัสนีและวสันต์ เชียร์ทีมอะไร
(ตอบพร้อมกัน) เยอรมัน !

  • มันมีเหตุผลมั้ยว่าทำไมต้องเชียร์ ทีมเดียวกัน
อัสนี : ผมว่าเยอรมันไม่ค่อยขี้คุยมาก (ยิ้มๆ)
วสันต์ : มันเป็นทีมที่เวลาบุกขึ้นไปเนี่ย เราดูออกว่า เวลาไปซ้ายไปขวา แล้วเข้ากลาง มันหวังได้ มีประสิทธิภาพ

  • ทั้งสองเป็นคนดูบอลมั้ย
วสันต์ : ผมดูบ้าง ป้อมไม่ค่อยมั้ง
อัสนี : แต่ตอนนี้ผมดูนะ ผมพึ่งหนวดกุ้งอยู่

  • ถ้าให้ขึ้นเวทีกับศิลปินระดับโลกได้สักคน อัสนี-วสันต์ อยากแสดงกับใคร
อัสนี : ผมอยากเล่นคอนเสิร์ตกับ พอล แม็คคาร์ทนีย์ เหตุผลเพราะเขาเก่งมาก และผมชื่นชอบเขามานาน ผมเห็นเขาตั้งแต่เด็กๆ 18 ปี 20 ปี มาจนถึงตอนนี้ เขายังทำงานได้ดีอยู่  ทั้ง charming และ challenge  สุดยอด และเขาทำอะไรเยอะมาก ขอเลือกพอล แม็คคาร์ทนีย์ คนอะไรทำงานมากมาย ไปเล่นที่ไหน จนวันนี้ คนเต็มทุกที่ แต่งเพลงก็เยอะ
วสันต์ : ผมไม่เคยคิดว่าจะมีใครมาถามอะไรแบบนี้ ผมไม่เคยคิดอะไรแบบนี้มาก่อนเลย (หัวเราะ) งั้นผมขอเลือก the beatles ตอนนี้เหลืออยู่สองคน ริงโก้กับพอล เขาเป็นแรงบันดาลใจ เป็นขวัญใจ (อัสนี ครวญเพลง yesterday ประกอบ)

  • "หนังในดวงใจ" ของคนสร้างเพลง ที่ชื่อ อัสนีและวสันต์ คือเรื่องอะไร
อัสนี : ผมเลือก Cinema Paradiso ซึ่งใครดูก็คงจะชอบ เพราะว่ามันใกล้ตัวกับทุกคน เรื่องราวที่มีโรงหนังใกล้ๆ บ้าน ได้ไปดูหนังตอนเด็กๆ ได้ซึมซับชีวิตในวัยเด็ก ได้เรียนรู้โลกผ่านการดูหนัง จำบรรยากาศหนังขาวดำตอนนั้นได้ และก็คิดด้วยว่า เราเองก็เหมือนเด็กคนนั้น ที่ชีวิตไปถึงจุดหนึ่ง ก็ได้กลับมามองอดีตของตัวเอง และรู้สึกไปกับมัน Cinema Paradiso เป็นหนังที่ยอดเยี่ยมมาก อบอุ่นมาก
วสันต์ : ผมชอบสองเรื่องคือ Godzilla กับ Gone With The Wind

  • จะมีคอนเสิร์ต 26 ปีเรามี 26 คำถาม แต่คำถามสุดท้าย ให้พี่ป้อมกับพี่โต๊ะ สัมภาษณ์กันเอง
วสันต์ : จะถามป้อมว่า คิดว่าผมจะถามอะไร (หัวเราะชอบใจ)
อัสนี : งั้นผมจะถามว่า เราสองคนมาทำอะไรที่นี่ (ยิ้ม)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น