วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

นาฬิกาดำน้ำ (Diving Watch) ดำดิ่งสู่มหาสมุทร



ว่ากันว่า หากโลกนี้ไม่มีสงคราม นาฬิกาสำหรับนักดำน้ำก็คงไม่มี เพราะเหล่าทหารเรือทั้งหลายในสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ว่าจะในสมรภูมินอร์มังดีหรือเพิร์ลฮาร์เบอร์ ล้วนแล้วแต่ต้องการนาฬิกาเพื่อนัดหมายเวลาเข้าจู่โจมทางน้ำ แต่นาฬิกาทั่วไปให้แต่ความเที่ยงตรง แต่กลับไม่มีคุณสมบัติเรื่องการกันน้ำในระดับที่ดี ไม่มีระบบสำหรับลดแรงดันน้ำหรือออกแบบมาเพื่อดูเวลาได้ในที่มืด หรือตัวเรือนแข็งแกร่งพอจะลุยได้ในทุกสภาพภูมิประเทศ 

ตามประวัติของนาฬิกาดำน้ำ โอเมก้าถือเป็นเจ้าแรกที่ผลิตขึ้นมา ตามมาด้วยพาเนอไร ซึ่งผลิตให้กับบรรดาทหารเรือของอิตาลี และถึงแม้ว่าทุกวันนี้ สงครามได้เปลี่ยนรูปแบบไปมาก แต่นาฬิกาสำหรับดำน้ำก็ยังผลิตออกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักดำน้ำลึกทั้งหลาย และยังถือเป็นการเพิ่มค่าให้กับนาฬิกาแต่ละเรือนอีกด้วย เรามาดูสิว่า มีนาฬิกาดำน้ำเรือนไหนที่น่าสนใจบ้าง


100 Meter เริ่มต้นความลึกที่ 100 เมตร กับนาฬิกา Jaeger-LeCoultre รุ่น Memovox Tribute to Deep Sea ซึ่งพอเพียงจะใส่ดำน้ำในทะเลอ่าวไทย นาฬิการุ่นนี้ถอดแบบความโดดเด่นมาจากรุ่นดั้งเดิม ตัวเรือนสเตนเลสสตีลขนาด 40.5 มิลลิเมตร บรรจุกลไกการทำงานอัตโนมัติ Jaeger-LeCoultre Calibre 956 เดินด้วยความถี่ 28,800 ครั้ง/ชั่วโมง สำรองพลังงานได้นาน 45 ชั่วโมง มาพร้อมคุณสมบัติบอกเวลาชั่วโมง นาที วินาที และนาฬิกาปลุกเตือนที่จำเป็นสำหรับนักดำน้ำ หน้าปัดสีดำและเครื่องหมายขีดบอกค่าเวลาชั่วโมงแบบเรืองแสง กระจกหน้าปัดเพล็กซิกลาส โค้งนูนเล็กน้อย มาพร้อมสายหนังสีดำ และในจำนวนผลิตจำกัดเพียง 959 เรือนทั่วโลก


200 Meter ลงลึกมาอีกหน่อยที่ระดับความลึก 200 เมตร กับแบรนด์นาฬิกาที่มีเอกลักษณ์อย่าง Ulysse Nardin รุ่น Maxi Marine Diver สะท้อนรสนิยม ด้วยตัวเรือนที่ไม่เหมือนใคร ถือเป็นนาฬิกาแห่งทศวรรษใหม่ที่ออกแบบได้โดดเด่น น่าสนใจ ตัวเรือนผลิตจากไทเทเนียมและทองชมพูสีกุหลาบ ขนาด 45.0 มิลลิเมตร พื้นหน้าปัดสีดำ สลักลายคล้ายเกลียวคลื่น แสดงเวลาผ่านเข็มโดยแยกหน้าปัดย่อยแสดงค่าวินาทีไว้ที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา ตำแหน่งเดียวกันยังมีช่องหน้าต่างวงกลมแสดงวันที่ ขับเคลื่อนด้วยระบบอัตโนมัติ UN Calibre 26 สำรองพลังงาน
ได้นาน 42 ชั่วโมง มาพร้อมสายยางสีดำพิมพ์ลายคล้ายหน้าปัด


300 Meter จะลืม Panerai ไปไม่ได้เลย สำหรับ Luminor Submersible 1950 3 Days Automatic ตัวเรือนผลิตจากทองสัมฤทธิ์ CuSn8 เป็นโลหะผสมระหว่างทองแดงและดีบุก มีคุณสมบัติทนทานต่อการสึกกร่อนจากน้ำทะเลและภาวะกดอากาศใต้น้ำ ขนาดหน้าปัดใหญ่ 47.0 มิลลิเมตร ขัดด้าน ขอบตัวเรือนหมุนได้ในทิศทางเดียว ฝาหลังเปลือย ประกอบเข้ากับกระจกคริสตัลแซพไฟร์ เผยให้เห็นการทำงานของกลไกอัตโนมัติ Calibre P.9000 ที่ผลิตขึ้นภายในโรงงานของ Panerai เดินด้วยความถี่ 28,800 ครั้ง/ชั่วโมง สำรองพลังงานได้ 3 วัน ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันแรงสั่นสะเทือน และมาพร้อมสายหนังเฉพาะของ Panerai


ในระดับความลึกเดียวกันนี้ยังมีอีกเรือนที่น่าสนใจ จาก Richard Mille รุ่น Automatic Chronograph RM032 ตัวเรือนทรงกลม มีให้เลือกทั้งที่ผลิตจากไทเทเนียมผสมทองชมพูสีกุหลาบ หรือจะผสมทองขาว 18K หน้าปัดสเกเลตันที่ขัดแต่งอย่างประณีต แสดงฟังก์ชันบอกเวลาชั่วโมง นาที และวินาที พร้อมฟังก์ชันจับเวลาโครโนกราฟแบบ 12 ชั่วโมง เสริมความสปอร์ตด้วยปฏิทินรายปี โดยบอกวันที่ผ่านช่องหน้าต่างใต้ตำแหน่ง 12 นาฬิกา บอกเดือนผ่านช่องหน้าต่างระหว่างตำแหน่ง 4-5 นาฬิกา ทำงานด้วยกลไกอัตโนมัติ


333 Meter Ball Watch รุ่น Engineer Hydrocarbon Ceramic XV Automatic มาพร้อมกับกลไกอัตโนมัติ Calibre ETA2892 เที่ยงตรงในระดับโครโนมิเตอร์ ที่รับรองโดยสถาบัน COSC ติดตั้งด้วยไมโครก๊าซ 13 หลอด บนเข็มชี้ชั่วโมง นาที วินาที ตัวเรือนผลิตจากสเตนเลสสตีลขนาด 42.0 มิลลิเมตร ขอบตัวเรือนทำจากเซรามิกเรืองแสง หมุนได้ทิศทางเดียว ผนึกกระจกคริสตัลแซพไฟร์เคลือบสารกันแสงสะท้อนและรอยขีดข่วน


500 Meter ที่ระดับความลึกขนาดครึ่งกิโลเมตรแบบนี้ ต้องควบคู่กับแบรนด์นาฬิกาที่ได้รับแรงบันดาลใจแห่งโลกใต้ท้องทะเล อย่าง Aquanautic ตอกย้ำการเป็นนาฬิกาคุณภาพสวิสแท้ด้วยรุ่น KingChronograph คงเอกลักษณ์ขนาดตัวเรือนใหญ่ 47.0 มิลลิเมตร ผลิตจากสเตนเลสสตีล ไทเทเนียม เคลือบด้วย PVD สีดำ ขอบตัวเรือนด้านนอกหมุนได้ในทิศทางเดียวสำหรับใช้ในการดำน้ำภายในบรรจุกลไกอัตโนมัติโครโนกราฟ Calibre 7750 แสดงวันและวันที่ พร้อมแสดงเวลาได้ 2 ไทม์โซน สำรองพลังงานได้นาน 46 ชั่วโมง แสดงผลบนหน้าปัด แกะสลักลายด้วยเลเซอร์ สามารถเลือกใช้ได้ทั้งสายยางหรือสายไทเทเนียม


600 Meter เริ่มดิ่งลงลึกมากขึ้น นาฬิกาก็ดูจะโดดเด่นมากตามกันไป ในระดับขนาดนี้ คงไม่มีใครเกิน โอเมก้า (Omega) ที่ต่อยอดมาจากตระกูล Speedmaster ด้วยรุ่นใหม่อย่าง Seamaster Planet Ocean 600 M บรรจุกลไก Omega Co-Axial Calibre 8500 ติดตั้งด้วยบาลานซ์สปริงซิลิคอน Si 14 สำรองพลังงานได้นาน 60 ชั่วโมงจากการบรรจุตลับลาน 2 ตัว แสดงค่าเวลาชั่วโมง นาที และวินาที บนหน้าปัดกลางลงแล็กเกอร์สีน้ำเงิน เจาะช่องหน้าต่างแสดงวันที่ในตำแหน่ง 3 นาฬิกา ตัวเรือนผลิตจากไทเทเนียมกับขอบตัวเรือน Liquidmetal สีน้ำเงิน ปรับหมุนได้สำหรับใช้ในการดำน้ำ เครื่องหมายจุดสำหรับสังเกตการณ์เวลาที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกาเคลือบสารเรืองแสงสีขาว ติดตั้งเม็ดมะยมพร้อมโลโก้ของแบรนด์และวาล์วปล่อยก๊าซฮีเลียมไว้ในตำแหน่ง 10 นาฬิกา


1000 Meter การพัฒนาสร้างสรรค์เรือนเวลาตามแบบฉบับของ CLERC สามารถสังเกตได้จากผลงานรุ่น Hydroscaph Steel GMT ด้วยตัวเรือนสเตนเลสสตีล สเตนเลสสตีลเคลือบ PVD สีดำ หรือทองชมพูสีกุหลาบ ขนาด 44.6 มิลลิเมตร ขอบตัวเรือนหมุนได้ ผนึกเข้ากับกระจกคริสตัลแซพไฟร์เคลือบสารกันแสงสะท้อนและรอยขีดข่วนทั้งบนหน้าปัดและฝาหลัง ภายในบรรจุกลไกการทำงานอัตโนมัติ C606 สำรองพลังงานได้นาน 45 ชั่วโมง แสดงฟังก์ชัน GMT แบบ 24 ชั่วโมง


ด้านข้างตัวเรือนติดตั้งวาล์วปล่อยก๊าซฮีเลียมอัตโนมัติ กันน้ำได้ลึก 1,000 เมตร ตัวเรือนมาคู่สายยางหรือสายหนังจระเข้อย่างดีในระดับความลึกเดียวกัน แบรนด์แฟชั่นอย่าง Porsche Design ก็สามารถพัฒนาเรือนเวลา รุ่น P?6780 Diver Black Edition ให้มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับแบรนด์นาฬิกาอื่นๆ ด้วยการทำงานของกลไกอัตโนมัติ Sellita SW300 เดินด้วยความถี่ 28,800 ครั้ง/ชั่วโมง สำรองพลังงานได้นาน 42 ชั่วโมง แสดงค่าเวลาชั่วโมง นาที และวินาที คู่กับการแสดงวันที่ ติดตั้งโรเตอร์เอกลักษณ์ของ Porsche Design ในตัวเรือนสเตนเลสสตีลพ่นทรายและสะพานจักรไทเทเนียม พื้นหน้าปัดดำ ตกแต่งด้วยเครื่องหมายขีดตัวเลขและเข็มชี้ฝังด้วยสารเรืองแสงสีขาวเพื่อให้อ่านค่าได้ในที่มืด


3000 Meter อาจเกิดข้อสงสัยที่ระดับความลึกนี้คนยังจะดำไปถึงหรือเปล่า แต่สำหรับไบร์ทลิ่ง (Breitling) รุ่น Avenger Seawolf Blacksteel Thailand Limited Edition ดำน้ำลงไปถึงแน่นอน ผลงานเรือนเวลารุ่นนี้สร้างสำหรับชาวไทยโดยเฉพาะ ปรากฏโฉมด้วยหน้าตาตัวเรือนสเตนเลสสตีลสีดำขนาด 45.0 มิลลิเมตร คู่พื้นหน้าปัดดำแสดงเวลาแบบ 3 เข็ม พร้อมเจาะช่องหน้าต่างแสดงวันที่ในตำแหน่ง 3 นาฬิกา ขับเคลื่อนการทำงานด้วยกลไกอัตโนมัติ Breitling Calibre 17 เดินด้วยความถี่ 28,800 ครั้ง/ชั่วโมง สำรองพลังงานได้นาน 40 ชั่วโมง โดดเด่นด้วยคุณสมบัติพิเศษที่สามารถกันน้ำได้ลึก 3,000 เมตร ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 50 เรือนเท่านั้นทุกเรือนจะแกะสลักตัวเลขลำดับและคำว่า ?Thailand Edition? ไว้ตรงบริเวณฝาหลังตัวเรือน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น